ปอ. มท. เชิญผมไปร่วมอภิปรายในการสัมมนาทางวิชาการ ของที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) เรื่อง “ ยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทย : วิกฤตหรือโอกาส ” วันที่ 4 – 5 กันยายน พ.ศ. 2549 ณ ห้องแปซิฟิค เดอะไทด์ รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี โดยผมร่วมอภิปรายในวันที่ 5 กย. เรื่อง “มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ : วิกฤตหรือโอกาส” เขาระบุในกำหนดการของการประชุมว่าร่วมอภิปรายโดย ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล และผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม, ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, และ ศ.ดร. คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการอภิปรายโดย ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ เวลาอภิปราย 2 ชม.
ผมไม่ได้ไปพูดในนามของสภามหาวิทยาลัยมหิดล ผมไปพูดในฐานะคนไทยคนหนึ่ง และเตรียมไปพูดแบบมองต่างมุมมากกว่ามองในมุมวิชาการ
ผมจะไปให้ความเห็นใน 5 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ วิกฤตหรือโอกาสของอุดมศึกษาไทย หากมหาวิทยาลัยของรัฐเปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ แต่ก่อนจะไปถึงประเด็นขอให้ความเห็นเรื่องวิกฤตกับโอกาสเสียก่อน ผมมองว่าสองสิ่งนี้จริงๆ แล้วมันคือสิ่งเดียวกัน ถ้าเราดำเนินการเป็นหรือถูกต้องมันก็เป็นโอกาส แต่ถ้าเราดำเนินการผิด มันก็นำไปสู่วิกฤต ดังตัวอย่างการใช้ความเก่งอย่างไม่ถูกต้องของคุณทักษิณ นำไปสู่วิกฤตของบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้
1. ผมมองที่วิกฤตหรือโอกาสของประเทศไทย ไม่อยากให้มองที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเท่านั้น และไม่อยากให้มองแค่ผลประโยชน์ของอาจารย์และข้าราชการเท่านั้น คือต้องมองภาพรวมของอุดมศึกษาไทย เชื่อมโยงไปกับการขับเคลื่อนส่วนอื่นๆ ของประเทศ มองเชื่อมโยงไปกับอนาคตของประเทศไทย ที่จะต้องดำรงอยู่ในท่ามกลางประชาคมนานาชาติ ในกระแสโลกาภิวัตน์ที่เราไม่ควรยอมตามกระแสที่ประเทศตะวันตกบงการไปเสียทั้งหมด
2. ผมมองว่าวิกฤตหรือโอกาสไม่ได้อยู่ที่การดำเนินการในแต่ละมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่จุดที่มีน้ำหนักยิ่งกว่าคือการจัดการระบบอุดมศึกษา และการจัดการระบบการศึกษาในภาพรวม ซึ่งผมมองว่าเวลานี้วิกฤตเสียยิ่งกว่าวิกฤต โดยผมประเมินจากผลลัพธ์ของการศึกษา คือคุณภาพของผู้จบการศึกษา เวลานี้เด็กที่จบ ป. 6, ม. 3, ม. 6 คุณภาพต่ำอย่างน่าตกใจ และเหตุใหญ่ที่สุดก็คือ ทั้งโครงสร้าง กฎระเบียบ และการจัดการ ต่างก็สร้างเงื่อนไขให้ครูที่ต้องการก้าวหน้าต้องทิ้งศิษย์ ต้องลดเวลาสอนลง เพื่อไปทำผลงานเลื่อนตำแหน่ง ไปเรียนต่อเอาปริญญาเพื่อความก้าวหน้าด้านตำแหน่งในอนาคต ไปทำโครงการตามสั่งจากส่วนกลาง หรือไปต้อนรับนักการเมือง ผมฟันธงว่าเหตุใหญ่ที่สุดที่ผลสัมฤทธิ์ด้านการศึกษาระดับโรงเรียนตกต่ำ ก็เพราะครูทิ้งศิษย์ และที่ครูทิ้งศิษย์ก็เพราะการบริหารจัดการทำให้เขาต้องทิ้งเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง เป็นเรื่องที่รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการต้องทบทวนตนเอง
3. บทเรียนของการปฏิรูปการศึกษา ดำเนินการมา ๗ ปี แล้วคุณภาพของผู้สำเร็จการศึกษาแต่ละระดับต่ำลง บอกอะไรแก่เรา ผมตีความว่ามันบอกว่า การปฏิรูปโครงสร้างและกฎระเบียบไม่เพียงพอ หรืออาจไม่ใช่หัวใจของการปฏิรูป หรืออาจเป็นการเปิดโอกาสให้ใช้ลู่ทางไปในทางที่แสวงหาผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ผลรวมด้านคุณภาพประสิทธิภาพของการศึกษาเลวลง
4. ผมมองเห็นวิกฤตกำลังก่อตัวในระบบอุดมศึกษาไทย และส่วนหนึ่งเป็นผลของการดำเนินการของ สกอ. แต่มองอีกมุมหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีส่วนปล่อยให้การจัดการระบบอุดมศึกษาเดินไปในทางที่ผิด มีการจัดการระบบในแนวทางที่ผิด
ผมมองว่าเวลานี้ระบบอุดมศึกษาไทยกำลังเดินไปในแนวทางที่ผิด คือแนวทางทำให้สถาบันอุดมศึกษาทั้งหมดเหมือนกัน มองว่ามหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องถูกประเมินด้วยเกณฑ์เดียวกัน รูปธรรมคือการจัดกลุ่มอันดับมหาวิทยาลัย ที่เอา มรภ. และ มทร. มารวมกลุ่มกับจุฬา มหิดล มช. ที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ส่วน มรภ., มทร. เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเราต้องการให้เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่น หรือผลิตบัณฑิตที่เด่นด้าน "ลงมือทำ"
มิจฉาทิฐิ คือบริหารความเหมือน สัมมาทิฐิคือบริหารเพื่อสร้างความต่าง สร้างความมั่นใจ ภูมิใจตนเอง ของแต่ละมหาวิทยาลัยตาม จุดแข็ง (positioning) ที่ตนมีและตนเลือก
5. ผมอยากให้มหาวิทยาลัยของรัฐ เปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือความเป็นอิสระ ที่จะทำประโยชน์เชิงสร้างสรรค์ให้แก่สังคมได้โดยไม่โดนระเบียบราชการปิดกั้น ผมมีความเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่เหมาะที่จะอยู่ในราชการ เพราะราชการเน้นการทำงานตามกฎเกณฑ์กติกาตายตัว ซึ่งไม่เหมาะต่อการทำหน้าที่เชิงสร้างสรรค์ หน่วยงานที่ทำหน้าที่เชิงสร้างสรรค์ต้องการความยืดหยุ่นกว่าระบบราชการมาก
แต่ถ้ามหาวิทยาลัยของรัฐ เปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ แต่ยังคงมีวัฒนธรรมด้านการจัดการแบบกติกาเดียวใช้เหมือนกันหมดในงานทุกประเภท และใช้วัฒนธรรมอำนาจ เหมือนตอนอยู่ในระบบราชการ ไม่ใช้โอกาสที่เปิดช่องให้ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ความเป็นเลิศทางวิชาการในรูปแบบที่จำเพาะและเหมาะสมต่อแต่ละมหาวิทยาลัย การออกไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐก็จะทำให้อุดมศึกษายิ่งเดินลงเหว เหมือนอย่างที่การปฏิรูปการศึกษาทำให้การศึกษาเดินลงเหวอยู่ในเวลานี้
วิจารณ์ พานิช
๓ กย. ๔๙
ดิฉันเห็นด้วย แต่ในกรณีของมรภ. ควรจะมีแนวทางพัฒนาอย่างไร เพื่อเปลี่ยนตัวเองไปเป็น ม.ในกำกับได้ เพราะม.ในกำกับต้องดูแลจัดการด้วยตนเอง ในขณะที่ดูเหมือน มรภ.จะโตแต่ตัว แต่การจัดการเหมือนประเทศกำลังพัฒนาที่มีปัจจัยลบมากมาย
ไม่อยากให้สังคมไทยถูกชี้นำให้ดูภาพของ ม.ของรัฐแย่กว่าหรือคุณภาพด้อยกว่า ม.ในกำกับ ผมคิดว่าความล้มเหลวของการแปรรูปองค์กรทางการศึกษา ที่ไปยุบหน่วยงานทางการศึกษา รวมเข้าด้วยกัน(เป็น สพท.) ผ่าลักษณะงานที่เชื่อมโยงกันออกเป็นส่วน ๆ (ศาสนาและวัฒนธรรม) คนคิดตอนนี้ก็เป็นรมว.ศธ. อยู่ในปัจจุบัน ท่าน(รมว.ศธ.)ไม่เคยยอมรับเลยว่ามันล้มเหลว...ผมกลัวการแปรรูปจาก ม.ของรัฐไปเป็น ม.ในกำกับจะล้มเหลวหนักเข้าไปอีก ผมขอถามและต้องการคำตอบจากผู้เห็นว่า ม.ในกำกับของรัฐมันวิเศษกว่า ม.ของรัฐ ดังนี้ครับ
๑. สถานภาพของข้าราชการจะเป็นอย่างไร จะกลายพันธุ์เป็นพนักงานหรือไม่ ผิดวัตถุประสงค์ของการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือไม่
๒. ศักดิ์ศรีของข้าราชการลดน้อยลงหรือไม่
๓.ค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้นหรือไม่ (เพราะเห็น ม.แม่ฟ้าหลวง คนยากจนลูกชาวบ้าน ตาสีตาสา ไม่มีโอกาสเข้าเรียน)
๔. ผู้บริหารเงินเดือนขึ้นมากกว่าเดิมใช่หรือไม่
๕.คุณภาพการศึกษาดีขึ้นหรือเลวลงหรือไม่
๖.จะขัดกับปณิธานของพระเจ้าแผ่นดินหรือไม่
๗. มีผลประโยชน์ของผู้บริหาร อาจารย์ ที่เน้นรายได้มากกว่าคุณภาพใช่หรือไม่
๘. อิสระมากขึ้นกว่าเดิมจนชาวบ้านและรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมมากกว่าเดิมใช่หรือไม่
๙. การผลักดันให้ออกนอกระบบเป็นแนวทางของ รมว.ศธ. ที่ไม่ได้เรื่องใช่หรือไม่
๑๐. ทำไมไม่คิดในมิติที่ทำของเดิม(ทรัพย์สมบัติทางการศึกษาของชาติ)ให้ดีด้วยวิธีอื่น มีความคิดตามอย่างต่างชาติ จนลืมความเป็นคนไทยใช่หรือไม่
หากจะเอาออกนอกระบบ...ก็ไม่ควรพึ่งพาเงินภาษี เงินงบประมาณแผ่นดิน ไม่ต้องมีคำว่าของรัฐ และในกำกับของรัฐ...แปรรูปให้เอกชนให้หมด ...ยิ่งเขียนยิ่งยั๊วะ...จบครับ
เรียน อ.วิจารย์
ขออนุญาต นำบทความนี้อาจารย์ไปลิงค์ต่อครับ
โดนใจจริง ๆ ครับ
ธงชัย...