เยี่ยมน้องวัดโพธิญาณ(บ้านเด็กกำพร้า)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 48 ที่ผ่านมาข้าพเจ้าและเพื่อน ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ ได้ไปทำบุญ จัดกิจกรรมให้กับน้องๆ โรงเรียนวัดโพธิญาณ จากตรงนี้ หลายท่านคงสงสัยว่าไปทำอะไร แล้วทำไมถึงเลือกที่นี่!!
ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอเล่าความเป็นมาของกิจกรรม โครงการเล็กๆ นี้ก่อน คือประมาณ 2สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เหรัญญิกประจำเอกชี้แจงในที่ประชุมเอกว่า เรามีเงินเอกที่เก็บมาทุกเดือนตั้งแต่ปีหนึ่งเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ขณะนี้เหลือเงินอยู่ประมาณ 3-4 พันบาท เราจะทำอย่างไรกับเงินที่เหลือนี้ดี เพื่อนๆ ต่างช่วยกันออกความคิดเห็น แรกๆ มีคนเสนอว่า เราน่าจะไปทำบุญที่วัด แล้วถ้าเงินเหลือก็จัดเลี้ยงสังสรรค์กัน แต่ความคิดนี้มีเพื่อนคนหนึ่งแย้งว่า การที่จะไปทำบุญที่วัดนั้น มีคนทำกันเป็นปกติอยู่แล้วเราน่าจะทำบุญแบบที่เกิดประโยชน์กับผู้อื่นมากกว่าเช่นทำทาน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำที่ไหน? จากนั้นมีเพื่อนเสนอว่า รู้จักโรงเรียนวัดโพธิญาณ ที่นั้นเค้ามีบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วย เราน่าจะไปทำอะไรให้ที่นั้นจะดีกว่าไหม? ความคิดนี้เพื่อนทุกคนเห็นด้วย และตกลงจะไปด้วยกัน แต่เอ......... ไม่มีใครสักคนในเอกเราเลยที่รู้จักว่า "โรงเรียนวัดโพธิญาณ" อยู่ที่ไหนของพิษณุโลก??????
เช้าวันอาทิตย์เราได้รถกระบะของพี่ชายเพื่อน(ซึ่งมาจากนครสวรรค์เพื่อมาสอบ อบต. ) เป็นรถบรรทุกขนส่งสัมภาระ อุปกรณ์ ต่างๆ รวมทั้งเพื่อนเราที่รวมน้ำหนักกันแล้ว พี่ช้างตัวบิ๊กๆ ยังชิดซ้าย ไปส่งที่โรงเรียนฯ มี คุณริ นั่งบอกทางคุณพี่อยู่หน้ารถ ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ชายผู้เสียสละเพราะเป็นนักดนตรีต้องขนกีต้ากันคนละตัว ประมาณ 4-5 คน (โชคดีได้เพื่อนเอก เทคโนฯและเคมีมาช่วย) นั่งรอรถมารับอีกรอบ เรานั่งรออยู่นานประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงได้ กว่ารถจะมารับ ถามคุณพี่ได้ความว่า "คุณริ" เธอบอกทางผิดพาหลงไปค่อนทางแล้วย้อนกลับมาใหม่ สงสารเพื่อนๆที่นั่งกระบะพร้อมแออัดกันกับข้าวของบริจาค บางคนไม่กล้าบ่น บางคนไม่รุ้ว่าทำไมมันไกลและนานขนาดนี้
พอรถวิ่งเข้าสู่ทางเข้าวัดที่เป็นซอยเล็ก(ก่อนถึงสนามกีฬาจังหวัด)
แยกจากถนนใหญ่ที่ตัดผ่านโรงแรมหรูระดับห้าดาว
รถเหมือนวิ่งเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง
ทางเข้าวัดเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยสองข้างทาง
เข้าไปไม่ไกลนักก็พบเนินดิน พอรถขึ้นเนินดิน ภาพที่ทำให้ฉงนคือ
โบราณสถานเก่าแก่
ซึ่งคาดว่าจะเป็นวัดเก่าอยู่บริเวณหน้าทางเข้าโรงเรียน
ซึ่งแยกเป็นสัดส่วนกับวัดชัดเจน ภาพนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า
มีวัดเก่าสภาพประมาณกรุงสุโขทัยอยู่ในพิษณุโลกอีกหรือนอกจากพระราชวังจันทร์
คำถามนี้พรุดขึ้นทันทีแต่ก็กลับหยุดชะงักด้วย
ภาพที่ไม่มีวันจะลืมได้เลย
ข้าพเจ้าขอยกข้อความที่ขวัญหทัย(เพื่อนคนหนึ่งที่ดูเธอห่าวหาญมากแต่เธอกลับเขียนอีเมล์เล่าความประทับได้ดีเหลือเกิน)มาเล่าให้ฟัง
"...เมื่อถึงที่หมายแล้ว รถของเคลื่อนตัวช้าๆ เข้าไปหาที่จอด
..ภาพแรกที่เห็นก้อคือ..เด็กๆ ประมาณ เกือบสามสิบคน ยืนชะเง้อ
มองดูรถที่ผ่านเข้ามาพร้อมกับอาการกล้าๆกลัว เหมือนกับคิดว่า
...จะใช่ รถคนนี้เปล่าน๊า...พอพวกเราเริ่มทยอยกันออกจากรถ
เด็กๆเหล่านั้นต่างพากัน เดิน ต่อแถวกันเข้ามา ที่อาคารซึ่ง คล้ายๆ
อาคารเอนกประสงค์ที่ใช้ทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง..เพราะเป็นห้องโถงกว้างๆที่
มีเวที
พร้อมกับม่านสีแดงผืนยักษ์ ....พอน้องๆเข้ามากันครบแล้ว
สิ่งที่เห็นอยุ่ตรงหน้า กับทำให้เราหลายคนต่าง ตกใจและน้ำตาซึม
เพราะหนึ่งใน 30 กว่าชีวิตนั้น คือ เด็กชายตัวน้อยๆ อายุสักประมาณ 2
ขวบ ที่กำลังขี่หลังเด็กชายคราวพี่ ที่อายุมากกว่า สัก 6 ปี
เข้ามาในห้องนั้น สิ่งที่เห็นทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่า
...สังคมเดี๋ยวนี้มันโหดร้ายเพียงนี้เชียวหรอ เด็กชายตัวน้อยๆ คนนั้น
น่าจะได้รับการเลี้ยงดูและ ได้รับความรักจากพ่อและแม่ จิงๆ
...อีกใจหนึ่งก้อคิดไปว่า ตอนที่เราไปนั้น เค้าอายุประมาณเพียงแค่ 2
ขวบ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เด็กๆทั้งหมด ที่อยู่ ณ สถานที่นั้น
พวกเค้าอาศัยอยุ่กันมาตั้งแต่อายุเท่าใด ..บางคน อาจจะ หลังจาก
ที่พวกเค้าลืมตาดูโลกซะด้วยซ้ำ....แต่ในมุมที่เลวร้ายทีสุด
ยังมีมุมที่น่ารักที่สุด อยุ่เหมือนกัน เพราะ เด็กๆ ทุกคนในนั้น
แสดงความมีน้ำใจและรักใคร่กลมเกลียวกัน ดี
คนที่เหมือนจะเป็นพี่ใหญ่สุด จะทำหน้าที่ดูแลน้องๆ ที่อายุ น้อยกว่า
น้องคนเล็กสุด คือ เด็กชายตัวน้อยอายุราว 2 ขวบ นามว่า " หมื่น"
จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ก้อแน่นอนแหละ เพราะ
เค้าเป็นน้องเล็กคนสุดท้องของที่นั่นนี่หน่า.......ลองคิดดูสิ ว่า
เด็กๆ ที่อยุ่ในวัยที่กำลังสดใส ไร้ซึ่งวุฒิภาวะใดๆ ต้องมารับภาระ
ที่เสมือนผู้ใหญ่ในการดูแล และจัดการในส่วนต่างๆ ของที่นั่น
รวมทั้งชีวิต ของพวกเค้าเองด้วย ....ซึ่งก้อทำได้ดีทีเดียว
ตรงกันข้ามกับพวกผู้ใหญ่บางคน ที่ ไม่ ต้องการที่จะเผชิญปัญหา
กลับผลักไส ปัญหา ไปให้กับสังคม หรอ ใครก้อตามที่ตัวเองเห็นว่า
...ไม่เกี่ยวข้อง
.........เห็นภาพเด็กๆที่นั่นแล้ว
ได้รุ้สึกอะไรแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกอย่าง อยู่ภายใต้ คำว่า"
......ตัวเอง ...ครอบครัว...ความอบอุ่น..สังคม...ความเห็นแก่ตัว
.....พวกเรา.....น้ำใจ "
.........ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่นั่น มีทั้งรอยยิ้ม และน้ำตา
ของพวกเราหลายๆคน...นี่เป็นครั้งแรก ที่พวกเรา สาขา ภาษาอังกฤษ
ชั้นปีที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ ได้ไปสถานที่แห่งนั้น
แต่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน ......เราสัญญา
การที่เราได้ทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง...ทำให้สังคมเล็กๆที่เหมือนจะไร้ซึ่งรอยยิ้ม
และความสุขให้กลับขึ้นมาสดใส ได้ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาที่ไม่มากมาย
...แต่รู้ไว้ซะเถอะ ว่า เด็กๆเหล่านั้นจะจำพวกเรา ได้ขึ้นใจ
...เพราะพวกเค้าสามารถรับรู้ได้ ว่า การได้เป็นสิ่งที่มีค่า
......เป็นเช่นไร "
นี่คือ อีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่พวกเราเพื่อนๆ นิสิตชั้นปี่ที่ 4 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ได้ทำร่วมกันก่อนที่จะแยกย้ายกันไปฝึกสอน และออกเผชิญโลกกว้างในสายอาชีพแม่พิมพ์ของชาติ
กิจกรรมนี้สอนข้าพเจ้าให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ได้เห็นชีวิตเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ต้องมารับชะตากำพร้า ตั้งแต่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ การจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้แก่เด็กๆ เหล่านี้ที่ขาดแคลนทั้งทางด้านจิตใจ และสังคมครอบครัว ตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาเหล่านี้
หลังจากที่กลับมาข้าพเจ้าได้เล่าความรู้สึกจากกิจกรรมที่ได้ทำมากับท่านอาจารย์
ดร.อมรรัตน์ วัฒนาธร ข้าพเจ้าได้คำถามมาคิดมากมาย "การศึกษาของเรากำลังทำอะไรอยู่
เราจะช่วยกันแก้ปัญหาและช่วยเหลือพวกเขาเหล่านี้อย่างไร
การวิจัยทางการศึกษาที่เราทำอย่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง"
ข้าพเจ้าต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.อมรรัตน์
เป็นอย่างสูงที่ให้คำปรึกษา และชี้แนะแนวทางทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ
อยากที่จะศึกษาต่อเพื่อนำศาสตร์ทางด้านการศึกษาวิจัยไปช่วยยกระดับการศึกษา
การจัดการศึกษาในโรงเรียนหรือบ้านเด็กกำพร้า
เพื่อให้พวกเขาพร้อมที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างบุคคลคุณภาพพร้อมที่จะเผชิญและแก้ไขปัญหาต่างๆ
ได้โดยใช้สติปัญญา.....
เราก็อยากที่จะไปทำบุญแบบนั้นเหมือนกัน เพราะว่าได้ช่วยพวกน้อง ๆที่ยากจน เชื่อไหม เออลืมบอกไปเราเรียนที่ ม. ราชภัฏสวนดุสิต ปี 3 วันที่สอบเสร็จเพื่อนในห้องลงความเห็นกันว่าจะไปเที่ยว ( แต่ในควาคิดของเราเราคิดว่าการที่จะเอาเงินที่เปลืองจากการจ่ายค่ารถค่ากิน คนละ 500 บาทไปเที่ยวสู้เราเอามาบริจาคให้กับน้อง ๆ ไม่ดีกว่าเหรอดังนั้นเราจึงไม่ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่เราอยากทำบุญช่วยเหลือน้อง ๆ มากกว่า มีที่ไหนที่จะแนะนำใกล้ ๆกรุงเทพฯ ไหม ขอคำแนะนำด้วย )
ดีใจที่เห็น น้องๆทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่สังคม
นะคะ..จะเป็นกำลังใจให้ทำในสิ่งดีดีต่อไปค่ะ
หวัดดีค่ะ เราก็กำลังจเตรียมวางแผนทำโครงงานอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นโครงงานแนวจิตอาสา
เกี่ยวกับเด็กกำพร้าที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมสมัยนี้ แต่กลับไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจอย่างจริงจังเลย หนูกับเพื่อนๆเลยรวมกลุ่มกันเพื่อจัดทำโครงงานนี้แต่ยังขาดปัจจัยอีกหลายๆด้าน ถ้าพี่ๆเพื่อนๆคนไหนสนใจก็แอดมาคุยกันได้นะค่ะ.....ขอบคุณค่ะ
อยากไปอ่า เหงมีหลายกระทู้บอกว่าสนุก และก็ซึ้งมากเรย
วันเกิดนี้อยากหาที่ไปทำบุญเหมือนกัล แต่ไม่รุ้จะไปบ้านไหนดีอ่าค่ะ
แนะนำบ้างก็ดี
ผมก้อเคยเรียนที่นั้นครับ
มีหลายๆบุคคลที่มาช่วยกานแก้ปัญหา
ตอนผมเรียนก้อมีคุณครูใจดีหลายคนที่ไห้คำสังสอนมากมาย
แต่ผมก้อไม่ค่อยเชื่อฟังท่านสักเท่ารัย
ถึงผมจะเลวนะแต่ผมก้อคิดถึงคุณครูอยากจะไปกราบท่านแต่มะมีโอกาศเลย
ขอบคุณทุกท่านที่ไห้โอกาศกับพวกน้องๆแหล่ะพวกผม
ผมก็ศิษย์เก่าวัดโพธิ์เหมือนกันครับ คิดถึงคุณครูทุกคนนะครับแต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่สะดวก เพราะติดทหาร
แต่ก็ยังทันที่จะไปลาครูอำพร ถ้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยมเด็กที่นั่นครับ ไม่ลืมเด็กข้าวก้นบาต
คิดถึงเพื่อนที่เรียนด้วยกันใครจำได้ก็แอดเมลมาหากันมั่งนะครับ [email protected] หรือ Fackbook ก็ได้