โยนิโสมนสิการ 10 วิธี
มีอะไรบ้าง และจะได้ประโยชน์ในการนำมาใช้อย่างไร (วิธีที่ 1)
1.
วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย ในทางปฏิบัติจะแยกได้ 2
อย่างคือ
1) คิดแบบปัจจัยสัมพันธ์
“เมื่อสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี” “เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้น
สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น” เป็นวิธีคิดแบบเชื่อมโยง “เหตุ” และ “ผล”
นั่นก็คือขบวนการคิดแบบมีเหตุมีผล
หากได้คิดเช่นนี้ก็จัดเป็นผู้ที่มีเหตุและผล
เป็นผู้ที่อธิบายธรรมชาติได้ ซึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นคนมีเหตุผล
ถ้าจะเรียกกันแบบที่ได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ เป็นคนมีหลักการนั่นเอง
แต่ในข้อเท็จจริงแล้วเมื่อเราเห็น “ผล” เราอาจจะไม่ทราบถึง “เหตุ”
หรือในทางกลับกันเราอาจจะไม่สามารถทำนาย “ผล” ที่จะเกิดขึ้นเมื่อทราบ
“เหตุ” ได้ในทันที ในทุกเรื่อง จึงต้องมีขั้นตอนการสืบสาวราวเรื่อง
การศึกษาค้นคว้า อย่างเป็นขั้นเป็นตอน หรือเป็นวิทยาศาสตร์นั่นเอง
ซึ่งหากจะโยงกับการวิจัยแล้ว
ก็จะพบว่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนวิธีคิดแบบนี้คือ
การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ เช่น
การหาความสัมพันธ์แบบต่าง ๆ อย่างของเพียร์สัน หรือไคว์สแควร์
การวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง หากเป็น 2
กลุ่มก็จะใช้ การทดสอบค่าที หากมากว่า 2 กลุ่มก็คือการทดสอบค่าเอฟ
หรือสถิตินอนพาราเมตริกซ์ ที่ใช้ในกรณี 2 กลุ่ม และ มากกว่า 3 กลุ่ม
เป็นต้น ซึ่งผลที่ได้ออกมาจะยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากนัก
เพียงแต่บอกได้ว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหรือไม่เท่านั้น
(หรืออาจจะบอกขนาดและทิศทางของความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ได้ด้วย)
จึงต้องอาศัยวิธีการคิดเพื่อการอธิบายให้ได้ต่อไปก็คือ ส่วนที่ 2
ที่จะกล่าวถึงต่อไป
2) คิดแบบสอบสวน หรือการตั้งคำถามว่า
“ทำไม” “เพราะอะไร”
วิธีการคิดแบบนี้เป็นการคิดเพื่อมุ่งตอบคำถามหลังจากได้พบว่ามีความเชื่อมโยง
ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ หรือความเป็นเหตุ เป็นผลกัน หรือไม่
ตามวิธีคิดที่ได้จากแบบที่ 1
ซึ่งกระบวนการที่จะสามารถตอบคำถามในแต่ละประเด็นที่ว่า
จะต้องเกิดจากการทบทวนองค์ความรู้สิ่งที่ผ่านมา ประสบการณ์ แนวคิด
ทฤษฎี รวมถึงข้อมูลเชิงประจักษ์ต่าง ๆ ที่ได้มีการจัดทำ บันทึกไว้
หรืออาจจะต้องลงมือสอบถาม สัมภาษณ์ หรือสังเกต
รวมถึงการใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตามรูปแบบชนิดที่เหมาะสม
ถือว่าขั้นตอนนี้คือขั้นตอนของการอภิปรายผลที่ได้พบจากวิธีคิดแบบที่ 1
นั่นเอง ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิจัย และน่าจะเรียกว่าเป็น “กึ่น”
ของนักวิจัยก็ว่าได้
ยกตัวอย่าง
เมื่อเราพบว่า
คุณภาพของระบบรายงานระดับอำเภอสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เมื่อคนจัดทำรายงานนั้น ๆ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเองได้
(ไม่ใช่ทำรายงานแล้วส่งจังหวัดอย่างเดียว) ก็ไปสัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า
“ทำไม” “เพราะอะไร” ก็ได้คำตอบว่า
“ในขั้นตอนการวิเคราะห์นั้นจะมีการตรวจสอบคุณภาพข้อมูลก่อน
รวมถึงหากผลวิเคราะห์ออกมาเป็นที่น่าสงสัยก็จะตรวจย้อนหลังไปว่าผิดพลาด
หรือข้อมูลไม่มีคุณภาพที่ตรงจุดไหนได้ง่ายขึ้น” (อนุชา หนูนุ่น
และอวยพร ดำเกลี้ยง, 2548)
และผลที่ได้จากการสัมภาษณ์ก็สอดคล้องกับข้อสรุปจากการประเมินผลการดำเนินงานโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจังหวัดปัตตานี
ที่ อุตสาห์ เพ็งภารา, นงนิตย์ จงจิระศิริ และเปรมจิต หงส์อำไพ
ได้ศึกษาไว้เมื่อปี 2545 อย่างนี้เป็นต้น
โดยสรุปจึงจะเห็นได้ว่าหากมีวิธีคิดแบบนี้
ก็จะสามารถพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใด
ก็สามารถมองย้อนและสืบสาวชักโยงไปถึงปัจจัยต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้อย่างรอบด้าน (Comprehensives) นั่นเอง
แต่ข้อจำกัดของวิธีคิดแบบนี้ก็มีเช่นกัน เช่น
การสรุปผิดพลาดเพราะข้อมูลที่ได้มาผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ
หรือเกิดจากบริบทที่แตกต่างไปจากเดิมที่ได้ศึกษาไว้ เป็นต้น
ซึ่งคงจะต้องอาศัยกระบวนการทำซ้ำเพื่อตรวจสอบยืนยันให้มากขึ้นจนแน่ใจ
ดูรายละเอียดได้จาก Error ในการวิจัย สิ่งที่มองข้ามไม่ได้
หมายเหตุจากผู้เขียน : บันทึกนี้ยังไม่ได้มีการตรวจทานจากผู้เชี่ยวชาญใด ๆ ก่อน จึงอยากได้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงการเขียนด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง
อนุชา หนูนุ่น
บันทึกเมื่อ 30 ก.ย. 2548
อ่านต่อ โยนิโสมนสิการ #3