พุทธศาสนาเชิงรุกด้านการสาธารณสงเคราะห์นี้ เป็นการจัดสร้างเพื่อประโยชน์อันก่อให้เกิดผลต่อสาธารณะ เช่น การสร้างโรงพยาบาล การสร้างถนน การสร้างศาลา การสร้างอาคารเรียน การสร้างสถานีตำรวจ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการจัดหาสิ่งของ หรือวัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้สำหรับสถานศึกษา หรือสถานที่อื่นใดที่เป็นของสาธารณะ (พระธรรมปัญญาภรณ์และพระมหาทองดี ปญฺญาวชิโร, 2548 : 99)
ดังนั้น การสาธารณสงเคราะห์ หมายถึง การจัดกิจการอันเป็นสาธารณประโยชน์ ที่พระสงฆ์ หรือวัดต่าง ๆ จัดทำอยู่ ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 การเข้าไปบริหารจัดการ เป็นกิจการที่ดำเนินการหรือจัดทำโครงการขึ้นมาเอง ในลักษณะที่ทำเป็นกิจการประจำหรือชั่วคราว เช่น กิจการห้องสมุดเพื่อประชาชน การตั้งมูลนิธิ การตั้งกองทุน เพื่อช่วยเหลือคนยากจนหรือช่วยเหลือคราวประสบภัยพิบัติ การกำหนดเขตอภัยทาน หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) เป็นต้น ซึ่งพระเข้าไปดำเนินการเอง
แนวทางที่ 2 การเข้าไปสนับสนุน เช่น การพัฒนาหมู่บ้านหรือชุมชน การจัดหาทุนเพื่อการสงเคราะห์ การช่วยเหลือทางราชการในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น อาจเป็นการเกื้อกูลกิจการของภาครัฐหรือของภาคเอกชนในลักษณะของการเข้าไปมีส่วนร่วม เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำกิจกรรมส่งเสริมหน่วยงานอื่นที่ทำอยู่ก่อนแล้ว
แนวทางที่ 3 การเข้าไปแสวงหาการมีส่วนร่วม เป็นการช่วยเกื้อกูลในส่วนของสาธารณสมบัติ โดยมุ่งเอาผลเพื่อส่วนรวมที่เป็นสาธารณที่เป็นวัตถุ เช่น การสร้างถนนหนทาง การขุดลอกคูคลอง การสร้างฌาปนสถาน การสร้างระบบประปาและระบบไฟฟ้าหรือเครื่องกำเนินไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเน้นที่สาธารณสมบัติส่วนรวมเป็นหลัก
แนวทางที่ 4 การเข้าไปแบบให้เปล่า เช่น การช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัยวาตภัย อัคคีภัย การประสบอุปัทวเหตุ การประสบภัยธรรมชาติ การสงเคราะห์คนชรา คนพิการ คนผู้ด้อยโอกาส หรือการสงเคราะห์โดยประการอื่น ๆ ทั้งในยามปกติและตามโอกาสที่มาถึง เป็นต้น ซึ่งเป็นความเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
สรุปได้ว่าการเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกทั้ง 3 ด้านคือด้านการเผยแผ่ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ และด้านการสาธารณสงเคราะห์นั้นเป็นเครื่องมือขององค์กรทางพุทธศาสนาที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงที่สามารถขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวหน้าต่อไปได้
จากแนวคิดทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมา ทำให้เห็นแนวคิดของพุทธศาสนาเชิงรุกของบุคคล องค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้
พระธรรมโกศาจารย์ ได้ให้ทางพุทธศาสนาเชิงรุก 2 ด้านคือ พุทธศาสนาเชิงรุกด้านการศึกษาสงเคราะห์ และด้านการสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งการให้แนวทางพุทธศาสนาเชิงรุกทั้งสองด้านนั้น ต้องใช้หลักการสงเคราะห์ประชาชนเพื่อต้องการนำประชาชนเข้าหาธรรมะ
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้นำหลักพุทธศาสนาเชิงรุกในด้านการเผยแผ่โดยให้ความหมายว่า การบุกไปทำงานทุกหนทุกแห่งเท่าที่โอกาสเปิดให้ โดยใช้กระแสธรรมอินเทรนด์ อันเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เช่น ผลิตธรรมะชุดธรรมะติดปีก การใช้หลักธรรโมโลยีซึ่งใช้รูปแบบธรรมะฉบับ SMS หรือธรรมะโมบายเพื่อต้องการทำลายกำแพงแห่งภาษา ที่เข้าใจได้ยากและต้องการทำลายกำแพงแห่งท่าที หรือการเผยแผ่แบบตั้งรับ ที่มีกฎเกณฑ์มากเกินไปมาเป็นท่าที่ที่ตอบสนองต่อสังคมมากขึ้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ พระต้องปรับท่าทีใหม่ในการเผยแผ่โดยใช้แนวคิดพุทธก้าวหน้า พระก้าวนำ อันเป็นเครื่องมือพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือจับผิดคน
พระพรหมคุณาภรณ์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มองพุทธศาสนาในอดีตว่า วัดเป็นสถานที่สำคัญ โดยสามารถชี้ให้เห็นตามพุทธศาสนาเชิงรุกใน ดังนี้ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ คือ 1.วัดเป็นสถานที่ศึกษา 2.วัดเป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรม ด้านการสาธารณสงเคราะห์ คือ 3.วัดเป็นสถานสงเคราะห์ 4.วัดเป็นสถานพยาบาล 5.วัดเป็นที่พักคนเดินทาง 6.วัดเป็นคลังวัสดุ 7.วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ด้านอื่น ๆ คือ 8.วัดเป็นสโมสรที่ชาวบ้านพบปะสังสรรค์ 9.วัดเป็นสถานบันเทิง 10.วัดเป็นสถานที่ไกล่เกลี่ย 11.วัดเป็นศูนย์กลางการบริหารและปกครอง
ประเวศ วะสี มองว่าการที่พระสงฆ์ได้พยายามคิดทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อพุทธศาสนาเชิงรุก เพราะจะทำให้พุทธศาสนามีพลังในการขับเคลื่อนสู่สังคมในระดับกว้างต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปจับยุทธศาสตร์การขจัดทุกข์ เพราะยุทธศาสตร์นี้จะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งต่างจากยุทธศาสตร์สร้างความสุขซึ่งจะนำไปสู่ความโลภและการแย่งชิง การทอดทิ้งกัน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เปิดการเรียนการสอน การทำวิจัยเกี่ยวกับวิชาการทางด้านพุทธศาสนาครอบคลุมแทบทุกจังหวัดของประเทศและมีสถาบันสมทบในต่างประเทศอีก 7 แห่ง กิจกรรมพุทธศาสนาเชิงรุกที่สำคัญ คือการจัดงานพุทธศาสนสัมพันธ์โลก การจัดงานวิสาขบูชาโลก การจัดวิทยาลัยนานาชาติ โครงการพระธรรมทูตสายต่างประเทศ โครงการครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน โครงการธรรมจาริกสู่พื้นที่สูง โครงการสถานีวิทยุโทรทัศน์ เป็นต้น
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้เปิดการเรียนการสอน การทำวิจัยเกี่ยวกับวิชาการทางด้านพุทธศาสนากระจายไปทั่วประเทศ โครงการพุทธศาสนาเชิงรุกที่สำคัญ คือโครงการพระธรรมทูตสายต่างประเทศ โครงการครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน โครงการสถานีวิทยุ เป็นต้น
วัดในพุทธศาสนา ได้ทำงานพุทธศาสนาเชิงรุกด้านการเผยแผ่ ด้วยการอบรม เทศนาธรรม การสอนธรรม ตามวันเวลาและโอกาสสำคัญ ส่วนพุทธศาสนาเชิงรุกด้านการศึกษาสงเคราะห์ จะมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ โรงเรียนการกุศลของวัด โรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจนตามพระราชประสงค์ ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด และพุทธศาสนาเชิงรุกด้านการสาธารณสงเคราะห์ ประกอบด้วยการเข้าไปบริหารจัดการ การเข้าไปสนับสนุน การแสวงหาการมีส่วนร่วม และการเข้าไปแบบให้เปล่า
ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์พุทธศาสนาเชิงรุก 3 ด้าน
ที่ |
|
พุทธศาสนาเชิงรุก |
|
1 |
|
ด้านการเผยแผ่ |
|
2 |
|
ด้านการศึกษาสงเคราะห์ |
|
3 |
|
ด้านการสาธารณสงเคราะห์ |
|
|
|
|
|
ดังนั้น พุทธศาสนาเชิงรุกในที่นี้ จึงสามารถสรุปเป็นภาพรวมได้ใน 3 ด้านหลัก ดังนี้
1.งานด้านการเผยแผ่ คือ การเผยแผ่พุทธศาสนาสู่สังคม โดยรุกออกไปข้างนอกวัด ทั้งนี้ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา สถานที่ ในฐานะพระธรรมทูต โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยมีข้อมูลจากฐานความรู้หรืองานวิจัยทางพระพุทธศาสนา
2.งานด้านการศึกษาสงเคราะห์ คือ การเปิดวัดหรือศาสนสถานให้เป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษา เรียนรู้ ในรูปแบบของการให้การศึกษาทุกระดับชั้นทั้งในระบบ และนอกระบบโดยไม่หวังผลกำไร
3.งานด้านการสาธารณสงเคราะห์ คือ การทำวัดหรือศาสนสถานให้เป็นที่พักผ่อน เป็นที่พึ่งของสังคมชุมชน เช่นจัดสร้างโรงพยาบาล สถานีอนามัย ที่พักอาศัย ที่พักฟื้น ที่สร้างอาชีพรายได้ โดยวัดเป็นเจ้าของดำเนินการบริหารจัดการเอง การเข้าไปสนับสนุน การเข้าไปแสวงหาการมีส่วนร่วม และการเข้าไปแบบให้เปล่า
-เจริญพรคุณโยมกล้วยไข่ หนังสือที่ฝากท่านอาจารย์ขจิตไปให้เป็นผลงานอันดับที่ ๑๗ ของอาตมา
เนื้อหามี ๓ ส่วนคือ การ์ตูน ภาคบรรยาย และภาคการวิเคราะห์ ซึ่งอ่านได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่
-ส่วนอันดับที่ ๑๘ เรื่อง"ธรรมาธิปไตย : ธรรมรัฐ-ธรรมราชา-ธรรมานุวัตร" เป็นหนังสือเชิงวิชาการ และอันดับที่ ๑๙ "เรื่องเล่าจากกว๊าน
พะเยา" เป็นฉบับการ์ตูน
-หนังสือทั้ง ๒ เล่มหลังนี้คงจะพิมพ์มุทิตาหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ตอนอายุวัฒนมงคลครบ ๙๖ ปี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ หรือ
อีก ๔ เดือนกว่า ๆ นี้
-อย่างไรเสียจะได้ฝากอาจารย์ขจิตไปให้
เจริญพรคุณโยมกล้วยไข่ ที่ช่วยวิจารณ์หนังสือให้ สาธุๆๆๆๆๆๆๆ