ตลอดระยะเวลา 45 พรรษาในการทำงานอย่างหนักด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้สร้างสรรค์และพัฒนางานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นองค์กร อย่างมีระบบระเบียบ กระบวนการ และที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะกระทำได้มากอย่างนี้
จากการดำเนินงานด้านพุทธศาสนาเชิงรุกของพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงทำคุณประโยชน์โดยการขยายพุทธศาสนาออกไปใน 3 ลักษณะ จนชาวโลกยกย่องพฤติกรรมดังกล่าวว่าพุทธจริยา หรือจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าที่เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนพุทธศาสนาให้ขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด คือ
1)โลกัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกในด้านต่าง ๆ
2)ญาตัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติของพระองค์ อันเป็นเครื่องยืนยันถึงความกตัญญูกตเวทิตาของพระองค์ และ
3)พุทธัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่คนทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาได้อย่างมีอิสระเสรีภาพ
พุทธจริยาทั้งสามประการดังกล่าวนี้ เมื่อทรงกระทำแล้วก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ได้ประโยชน์ทั้งคนใกล้ชิดและผู้ที่อยู่ห่างไกล แต่ในที่นี้จะยกพุทธจริยาวัตรที่เรียกว่า โลกัตถจริยา เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกที่มีผลกระทบต่อสังคมกว้างขวาง และคลอบคลุมมากกว่าพุทธจริยาวัตรด้านอื่น ๆ กล่าวคือในแต่ละวัน พระพุทธเจ้าจะทรงทำพุทธภารกิจหลัก 5 ประการ เพื่อเป็นพุทธศาสนาเชิงรุกในระดับโลก (พระราชธรรมนิเทศ 2542 : 47) ดังนี้
1)เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต (ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตํ) เป็นการเสด็จออกไปโปรดสัตว์โลก ดังนั้นผู้ที่ต้องการบุญย่อมจะมีโอกาสได้ทำบุญ สร้างกุศลโดยการถวายข้าวบิณฑบาตแด่พระพุทธเจ้าในตอนเช้า ๆ
2)เวลาเย็นทรงแสดงธรรม (สายณฺเห ธมฺมเทสนํ) เป็นการแสดงพระธรรมเทศนาให้กับประชาชนและผู้สนใจในการฟังธรรมโดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ซึ่งหัวข้อธรรมที่พระองค์ทรงแสดงย่อมตอบสนองความต้องการของบุคคลนั้น ๆ ราวกับว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเฉพาะบุคคล นั้น ๆ เสมือนว่าพระจันทร์ปรากฏเฉพาะบุคคลนั้น ๆ
3)เวลาค่ำทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุ (ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ) เป็นการแสดงพระโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องกัมมัฏฐานและข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในหมู่พระสาวกทั้งหลาย
4)เวลาเที่ยงคืนทรงแสดงธรรมและตอบปัญหาแก่เทวดา (อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีภารกิจมากในตอนกลางวันเข้ามาฟังธรรมในตอนกลางคืน อันอาจหมายถึงพวกกษัตริย์ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสมมติเทพที่ติดภารกิจในตอนกลางวันเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า
5)เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูสัตว์โลก (ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพวิโลกนํ) เป็นการตรวจดูสัตว์โลกที่พอจะแนะนำได้ที่อาจจะรู้ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ให้ได้รับผลตามอุปนิสัยและบารมีของตน ๆ
พุทธภารกิจประจำวันทั้งห้าประการนี้ หากดูให้ดีพระพุทธเจ้าทรงทำพุทธศาสนาเชิงรุกและเชิงรับไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและจังหวะอันเป็นอุปนิสัยของสัตว์โลกนั้น ๆ เช่นพุทธภารกิจข้อที่ 1 และข้อที่ 5 เป็นการเผยแผ่เชิงรุกที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกไปหาเป้าหมาย โดยพุทธภารกิจแรกเสด็จไปโดยไม่เจาะจง ใครก็ได้ที่มีโอกาสก็จะได้สร้างบุญบารมีนั้น ๆ ส่วนพุทธภารกิจที่ห้าเป็นการเสด็จไปหาเป้าหมายโดยการเจาะจงว่าใครสมควรจะได้รับพุทธเมตตาด้วยบารมีของตน ๆ
ส่วนพุทธภารกิจที่ 2,3,4 เป็นการเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงกึ่งรับกึ่งรุก หากดูผิวเผินก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่กับที่แล้วให้ประชาชนเดินเข้ามาหาเพื่อทำการเผยแผ่ แต่หากพิจารณาให้ดี การเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าในลักษณะเช่นนี้กลับมีผลดีเทียบเท่ากับเชิงรุกอย่างน่าสนใจยิ่ง อันเนื่องมาจากประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาเชิงรุก อันอาจหมายถึงผู้นำทุกระดับชั้น ทุกสาขาอาชีพที่เข้ามาฟังธรรม ย่อมมีส่วนร่วมในการเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างภาคภูมิใจโดยการขยายผลจากตัวบุคคลไปสู่คนรอบข้างซึ่งการเผยแผ่ในลักษณะเช่นนี้ย่อมเกิดผลที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และมีพลังมากกว่า เช่น กรณีของอนาถปิณฑิกะเศรษฐี มิคารเศรษฐี นางวิสาขา พระนางสามาวดี เป็นต้น
การทำงานของพระพุทธเจ้าถือได้ว่าเป็นพุทธศาสนาเชิงรุกมาตั้งแต่ต้นยุคพุทธกาลซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงแนวทางตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงเริ่มการเผยแผ่พุทธศาสนา โดยผู้วิจัยจะลำดับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องประเด็นหลัก ๆ ดังสถานการณ์ต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง การตัดสินพระทัยในการทำพุทธศาสนาเชิงรุก หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ ๆ พระองค์ได้เริ่มคิดในการทำงานเชิงรุกโดยจัดกลุ่มประชาชนในโลกนี้ไว้ โดยทรงเปรียบเทียบประชาชน 4 กลุ่มกับดอกบัว 4 เหล่า (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ 10, 2539 : 202) ดังนี้
1)ประชาชนกลุ่มนี้ เรียกว่า อุคฆฏิตัญญู หมายถึงประชาชนผู้เข้าใจได้ฉับพลัน เปรียบเหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำ ที่พอต้องแสงอาทิตย์แล้วจะบานทันทีในวันนี้ คือประชาชนผู้มีความสามารถเป็นเลิศที่สามารถตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าได้ทันทีที่รับฟังพระธรรมเทศนา
2)ประชาชนกลุ่มนี้ เรียกว่า วิปจิตัญญู หมายถึงประชาชนผู้เข้าใจต่อเมื่ออธิบายขยายเนื้อความ เปรียบเหมือนดอกบัวที่เสมอน้ำ ที่รอเวลาบานขึ้นในวันพรุ่งนี้ คือประชาชนผู้มีความสามารถพิเศษที่สามารถตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าได้ ในประเด็นที่ขยายเนื้อความให้ลึกซึ้งมากกว่าประชาชนกลุ่มแรก
3)ประชาชนกลุ่มนี้ เรียกว่า เนยยะ หมายถึงประชาชนผู้ที่พอจะแนะนำได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่จมน้ำ ที่จะมีโอกาสบานในวันต่อ ๆ ไป คือประชาชนผู้มีความสามารถที่สามารถตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าได้ต่อเมื่อได้รับการแนะนำสั่งสอนบ่อย ๆ
4)ประชาชนกลุ่มนี้ เรียกว่า ปทปรมะ หมายถึงประชาชนผู้ที่สอนให้รู้ได้เพียงตัวบทหรือพยัญชนะ เปรียบเหมือนดอกบัวที่มีโรค ยังไม่พ้นน้ำ และไม่มีโอกาสที่จะขึ้นมาบานได้ เป็นอาหารของปลาและเต่าเท่านั้น
นั้นก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงทำการวิเคราะห์ (SWOT) ศาสนาของพระองค์เองเพื่อประเมินสถานการณ์ในขณะนั้น ว่ามีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไรและมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ดังนี้
1)จุดเด่นของการเผยแผ่อยู่ที่ความจริงอันประเสริฐที่สามารถนำไปสู่การดับทุกข์ได้
2)จุดด้อยของการเผยแผ่คือเป็นธรรมะที่ทวนกระแส ยากต่อการตรัสรู้ตามได้
3)สิ่งที่คุกคามการเผยแผ่คือลัทธิ ความชื่ออื่น ๆ ตลอดจนถึงวิถีชีวิตและประเพณีดั่งเดิม เช่น ระบบวรรณะ คติเกี่ยวกับการปลงผม คติเกี่ยวกับการบูชายัญ คติเกี่ยวกับการลอยบาป ฯลฯ
4)โอกาสของการเผยแผ่คือแนวโน้มที่กลุ่มประชาชนที่พอจะเป็นไปได้ในการเข้ามามีส่วนร่วมกับพระองค์มีมากถึง 3 ใน 4 กลุ่ม คือกลุ่มอุคฆฏิตัญญู กลุ่มวิปจิตัญญู และกลุ่มปทปรมะ
หลังจากพระองค์ทำการวิเคราะห์จนเห็นจุดเด่น จุดด้อย สิ่งที่เป็นปัญหาและโอกาสความน่าจะเป็นแล้ว พระองค์จึงเดินตามมรรควิธีที่ทรงวางเอาไว้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน
ประเด็นที่สอง การเสด็จออกไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เป็นการทำพุทธศาสนาเชิงรุกครั้งแรกในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา โดยทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเปล่าไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ตรัสรู้มิใช่น้อย การเสด็จออกไปเผยแผ่พุทธศาสนาครั้งนี้มีนัยสำคัญประการหนึ่งคือบุคคลกลุ่มนี้เป็นนักบวชที่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ต้น มีความผูกพันกันมาก่อน และที่สำคัญเป็นกลุ่มคนที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาที่นักบวชยุคนั้นนิยมกระทำกัน แต่ได้ผลน้อย พระพุทธเจ้าจึงนำเสนอทฤษฎีใหม่ที่ทรงค้นพบในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ณ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ อันเป็นการปฏิวัติแนวคิดของคนหมู่มาก นับว่าเป็นการทำพุทธศาสนาเชิงรุกเชิงสติปัญญาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเลือกปัญจวัคคีย์เข้ามาเป็นทีมงานก่อน
หากมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือนักเผยแผ่มืออาชีพจะเด่น จะดี จะดับก็เพราะคนใกล้ชิด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่พระพุทธเจ้าต้องนำบุคคลที่ใกล้ชิดพระองค์มาเป็นทีมงานและถือโอกาสทดสอบสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบ นับว่าเป็นการทำ Pre-test เนื้อหาก่อนการเผยแผ่จริง และหลังจากทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเปล่งพระอุทานว่า “อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ ๆ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ๆ” นั่นก็หมายความว่าทฤษฎีที่พระองค์ตรัสรู้ใช้ได้ผลจริง มีผู้เห็นตามด้วย ดังนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะ จึงเป็นบุคคลแรกที่เข้ามาเป็นแนวร่วมของพระพุทธเจ้าและเสนอตัวเข้ามาเป็นทีมงานในพุทธศาสนาเชิงรุกรูปแรกของพระพุทธศาสนาโดยการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการการทำงานเชิงรุกพร้อม ๆ กับพระพุทธเจ้า จนได้รับการยกย่องว่าเป็นรัตติตัญญู คือผู้รู้ราตรีนาน อันหมายถึงผู้ที่ล่วงกาลผ่านวัยและมีประสบการณ์อย่างมาก
ประเด็นที่สาม การเสด็จออกไปโปรดยสะกุลบุตร ที่ต้องการแสวงหาตัวตนและหลีกออกจากปัญหาที่อยู่ในชีวิตประจำวันจนเปล่งวาจาว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นีขัดข้องหนอ” ตลอดถึงการโปรดบิดาของยสะกุลบุตร ที่ตามหายสะกุลบุตรจนได้เป็นเตวาสิกอุบาสก คือผู้ถึงพระรัตนตรัยครบทั้ง 3 รัตนะเป็นคนแรกในโลก จากผลการเสด็จออกไปครั้งนี้ส่งผลให้สหายสนิทของยสะกุลบุตรอีก 4 คน พากันเข้ามามีส่วนร่วมโดยการออกบวชตาม และต่อมาสหายนอกนั้นอีก 50 คนก็เข้าร่วมอุดมการณ์ รวมเป็น 54 นักเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกรุ่นแรกของโลก
ประเด็นที่สี ทรงจัดองค์กรเพื่อทำพุทธศาสนาเชิงรุกขึ้นเมื่อมีพระสงฆ์สาวกจำนวนมากแล้ว พระองค์มีนโยบายการเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกท่ามกลางภิกษุสาวกทั้ง 60 รูปว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราพ้นจากบ่วงทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็เหมือนกัน จงเที่ยวไปในชนบท เพื่อประโยชน์และความสุขแก่มหาชน แต่อย่าไปรวมกันสองรูปโดยทางเดียวกัน ส่วนเราจักไปตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเหมือนกัน” นั้นก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศปรัชญา พันธกิจ นโยบาย และแนวทางปฏิบัติในการเผยแผ่ไปพร้อม ๆ กันคือ
1)พระพุทธเจ้าทรงวางปรัชญาการเผยแผ่ไว้ที่การบรรลุพระนิพพานก่อน แล้วจึงเผยแผ่สอนแก่บุคคลทั้งหลาย ดังพระดำรัสที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราพ้นจากบ่วงทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็เหมือนกัน” ในประเด็นนี้ทรงเน้นที่อัตตประโยชน์คือบำเพ็ญประโยชน์ตน
2)ส่วนพันธกิจที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้คือเป็นพันธกิจที่นักเผยแผ่จะต้องกระทำเพราะถือว่าเป็นหน้าที่หลักคือการเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุก ดังพระดำรัสที่ว่า “จงเที่ยวไปในชนบท” ในประเด็นนี้สาวกของพระองค์ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่แต่เป็นการทำงานเชิงรุกที่ต้องเดินเข้าหาประชาชนในที่ต่าง ๆ
3)พระองค์ทรงวางนโยบายที่ทรงใช้ในการเผยแผ่เชิงรุกก็คือประโยชน์ที่ให้แก่สังคมโดยรวม ดังพระดำรัสที่ว่า “เพื่อประโยชน์และความสุขแก่มหาชน” ในประเด็นนี้ถือว่าสำคัญมากทีเดียวเพราะสิ่งที่พระองค์กำลังกระทำถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ไร้ค่า ถ้าประชาชนไม่มีความสุขก็ไร้ผล ดังนั้นต้องมีทั้งประโยชน์และความสุขไปพร้อม ๆ กัน และ
4)ทรงวางแนวปฏิบัติให้กับพระสาวกทั้งหลายเดินก็คือการแยกย้ายกันไปเพื่อให้ทั่วถึง กว้างไกล ไร้ขอบเขตดังพระดำรัสที่ว่า “แต่อย่าไปรวมกันสองรูปโดยทางเดียวกัน ส่วนเราจักไปตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเหมือนกัน” ในประเด็นนี้พระสาวกย่อมชัดเจนในแนวทางเพราะพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงไว้แล้ว ไม่คลุมเครือ
ดังนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำดังที่กล่าวมาแล้ว จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาเชิงรุกอย่างเป็นกระบวนการภายใต้องค์กรที่มีการบริหารจัดการที่ดียิ่ง
ประเด็นที่ห้า การเสด็จออกไปโปรดผู้นำเจ้าลัทธิชฎิล 3 พี่น้องซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนหมู่มากแห่งยุคสมัยมีผู้คนทุกระดับเข้ามาเป็นศิษย์ทั้งระดับกษัตริย์ ระดับขุนนาง ระดับคหบดี และระดับประชาชนทั่วไปจนสามารถทำให้ชฎิลทั้งสามนำบริวารเข้ามีส่วนร่วมอีก 1,000 คน โดยอุรุเวลกัสสปะพี่ชายคนโตอยู่เหนือคุ้งน้ำ มีบริวาร 500 คน นทีกัสสปะ พี่ชายคนรองอยู่กลางคุ้งน้ำ มีบริวาร 300 คน ส่วนคยากัสสปะน้องชายคนสุดท้ายอยู่ใต้คุ้งน้ำ มีบริวาร 200 คน จากสถานการณ์นี้เองที่ทำให้การเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกได้ส่งผลกระทบไปทั่วชมพูทวีปอย่างมหาศาล
ประเด็นที่หก การเสด็จออกไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลมากทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยสามารถทำให้พระเจ้าพิมพิสารพร้อมประชาชน จำนวน 11 นหุต ได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วนประชาชนอีก 1 นหุตเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วแสดงตนเป็นพุทธมามกะคือผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง และได้มีส่วนร่วมในการบริจาคถวายวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ที่เป็นผลมาจากการจับยุทธศาสตร์การเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าที่มุ่งสู่แกนนำทุกระดับชั้นก่อนขยายสู่ประชาชนในทุกระดับต่อไป
ประเด็นที่เจ็ด การเปิดโอกาสให้เพศหญิงเข้ามาบวชในพุทธศาสนาโดยอนุมัติให้พระนางปชาบดีเข้ามาบวชเป็นภิกษุณีรูปแรก นับว่าเป็นการเปิดพุทธศาสนาเชิงรุกรูปแบบใหม่อย่างน่าสนใจยิ่งเพราะสตรีอินเดียสมัยนั้นไม่มีโอกาสออกบวชอย่างนักบวชชายจากลัทธิศาสนาอื่น ๆ นั่นก็หมายความว่าเพศหญิงได้มีส่วนร่วมในพุทธศาสนาเชิงรุกอย่างไม่เคยปรากฏในลัทธิศาสนาใดในประวัติศาสตร์มาก่อน
ในประเด็นดังกล่าวนี้ แม้จะเปิดโอกาสให้เพศหญิงเข้ามาบวชในพุทธศาสนาก็จริง แต่ถ้าสังเกตให้ดี เพศชายก็ยังมีส่วนร่วมต่อพุทธศาสนาเชิงรุกมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากเพศหญิงมีข้อจำกัดในด้านสรีระมากกว่าเพศชายนั้นเอง
ประเด็นที่แปด การอนุมัติให้พระประยูรญาติออกผนวช โดยเฉพาะการออกผนวชของสามเณรราหุล นับว่าเป็นการเผยแผ่เชิงรุกในระดับรากแก้ว ที่ทำให้คนทุกระดับชั้น วรรณะ เพศ วัย สถานภาพทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามเณรซึ่งถือว่าเป็นเหล่ากอแห่งสมณะแล้ว จะได้รับการฝึกอบรม ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ๆได้เข้ามาสู่ร่มเงาของพุทธศาสนา นับว่าเป็นวิธีการเผยแผ่ที่ได้ผลมากที่สุดที่จะทำให้ศาสนาของพระองค์มั่นคงตราบนานเท่านาน
จากประเด็นทั้ง 8 แสดงให้เห็นถึงการทำพุทธศาสนาเชิงรุกของพระพุทธเจ้าที่สำคัญ 3 ประการคือ 1) ทำพุทธศาสนาเชิงรุกโดยการเผยแผ่สู่ระดับผู้นำก่อน เช่น ชฎิลสามพี่น้อง กษัตริย์ เป็นต้น เพราะเมื่อจับยุทธศาสตร์ผู้นำได้แล้ว การจะนำพุทธศาสนาเชิงรุกเข้าสู่ผู้ตามยิ่งเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น 2) ทำพุทธศาสนาเชิงรุกโดยการกระจายพระสาวกสู่กลุ่มชนในพื้นที่ต่าง ๆ เข้าลักษณะ Division of work คือการแบ่งงานกันทำ โดยไม่ให้งานกระจุกอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป 3) ทำพุทธศาสนาเชิงรุกโดยการเผยแผ่แก่พระประยูรญาติ ดังที่กล่าวมาแล้ว
และผลจากการเผยแผ่พุทธศาสนาเชิงรุกดังกล่าว ทำให้พระพุทธเจ้าได้พุทธบริษัท 4 อันประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ที่มีความรู้ความสามารถสูง ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพญามารที่เข้ามากราบทูลให้ปรินิพพานว่า เราจะไม่ปรินิพพานจนกว่า พุทธบริษัททั้ง 4 คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกาของเราจะเฉียบแหลม ได้รับการแนะนำที่ดีจนแกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรม เมื่อเรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ก็สามารถบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายและยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัปวาท (วาทะหรือลัทธิอื่นนอกพุทธศาสนา) ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรม (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ 10, 2539 : 113-115)
นอกจากนี้ยังตรัสอีกว่า เราจะยังไม่ปรินิพพานจนกว่าศาสนาของเราจะบริบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้จักกันโดยมาก มั่นคงดี กระทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประกาศได้ดีแล้ว (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ 10, 2539 : 115-116) ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำจึงสรุปได้ 5 ประเด็น ดังนี้
1.ปริยัติ คือการศึกษาเรียนรู้ในพระธรรมวินัยให้กระจ่างแจ้ง สามารถตีความหมายได้ดี ทรงจำได้ด้วยใจ และแสดงได้คล่องปาก
2.ปฏิบัติ คือการนำพระธรรมคำสั่งสอนนั้นมาลงมือประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง จนสามารถนำความรู้สู่ภาคปฏิบัติให้เป็นวิถีชีวิตที่ผสมกลมกลืนระหว่างวิชชา (ความรู้)และจรณะ(ความประพฤติ)
3.ปฏิเวธ คือการปฏิบัติจนได้รับผลของการปฏิบัตินั้นกล่าวคือเป็นอริยบุคคลในระดับใดระดับหนึ่ง
4.การเผยแผ่ คือการที่สามารถบอกสอนได้ จำแนกแจกแจงได้อย่างดี มีทักษะในการอธิบายขยายความ ให้คนทั่วไปเข้าใจตามได้อย่างง่ายดาย
5.มีปาฏิหาริย์ปราบวาทะของลัทธิศาสนาอื่นได้ คือความสามารถแก้ไขปัญหา ตอบโต้ประเด็นข้อขัดแย้งได้ดี ตามหลักการทางพุทธศาสนา
ด้วยเหตุที่พุทธบริษัท 4 คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ที่เข้มแข็งนี้เอง ทำให้เจ้าลัทธิศาสนาต่าง ๆ ต้องปลอมเข้ามาบวชในพุทธศาสนาเพื่ออาศัยลาภสักการะ จนนิครนถ์บางส่วนจ้างคนมาทำร้ายพุทธศาสนา เช่นกรณีการลอบฆาตกรรมพระมหาโมกคัลลานะ กรณีของนางกิญจมานวิกาที่กล่าวหาว่าท้องกับพระพุทธเจ้า หรือการท้าทายพุทธศาสนา จนพระพุทธเจ้าต้องแสดงยมกปาฎิหาริย์ เพื่อปราบนักบวชนอกศาสนา เป็นต้น
ไม่มีความเห็น