นกเอี้ยง บุญช่วย มีจิต
บนหลังคาตึกห้านกเอี้ยงด่างฝูงใหญ่ บินโฉบลงมาหากินเหยื่อที่สนามหญ้าหน้าตึก พร้อมส่งเสียงอ้อยอีเอียง ๆ เซ็งแซ่ไปหมดจนฟังไม่ได้ศัพท์ บ้างจิกตีกัน บ้างแย่งอาหาร บ้างเล่นน้ำจากปลายสายยางที่ภารโรงเปิดรดสนามหญ้าเจิ่งนองไปทั่ว
สมพงษ์นั่งอยู่บนระเบียงชั้นห้า มองลงมาเห็นพฤติกรรมของนกเอี้ยงเหล่านี้เป็นประจำ ถึงแม้จะรำคาญเสียงดังของพวกมันบ้าง แต่เขาแอบมีสุขลึก ๆ ในใจ เพราะถึงแม้โรงเรียนที่เขาอยู่จะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร แต่ด้านหลังยังมีทุ่งนา ต้นสน และต้นไม้อื่น ๆ จำพวกมะขามเทศ และพุทรา พญาสัตบรรณ จึงมีนกนานาชนิดมาอาศัยอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะนกเอี้ยงฝูงใหญ่ เขามักจะมองออกไปนอกหน้าต่างเก็บเกี่ยวความสุขจากธรรมชาติเสมอ ๆ เมื่อมีเวลาว่างจากสอน
ในคาบโฮมรูมวันหนึ่ง หลังจากที่นักเรียนบางส่วนที่แต่งตัวผิดระเบียบ โดยเฉพาะทรงผมที่ไม่แน่ใจว่าเป็นนักเรียนหรือนางแบบนายแบบกันแน่ ที่ถูกครูหัวหน้าหมวดจัดการเอากรรไกรมาตัดให้เป็นรอยแหว่งเว้าไปทั้งหัว เป็นการตักเตือนว่าผมยาวแล้วนะ ไปตัดได้แล้ว ขณะที่จะเริ่มอบรมกิริยามรรยาทซึ่งวัน ๆ มีเรื่องต้องพูดแข่งพวกเขาปากเปียกปากแฉะอยู่แล้ว นกเอี้ยง นักเรียนชั้น ม.3 ทับ สิบ ก็กล่าวน้ำขึ้นก่อนว่า
“ การเรียนจะดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ทรงผมไม่ใช่หรือ ?” เธอตั้งกระทู้ถาม
“ ใช่ ” สมพงษ์ตอบเรียบ ๆ
“ แล้วทำไมมายุ่งกับพวกหนู” เธออภิปรายต่อ
“ ทำไมไม่ปล่อยให้อิสระ ทำไมไม่เห็นใจวัยรุ่นกันบ้าง เขาก็อยากหล่ออยากสวยเป็นธรรมดา ” นกเอี้ยงพูดต่อโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ครูที่ปรึกษาได้อ้าปากพูดเลย
และนักเรียนกลุ่มนั้นก็ระบายอะไรออกมาอย่างหมดเปลือก จนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าใครพูดอะไรบ้าง จนครูสมพงษ์ยกมือห้ามแล้วบอกว่า
“ เอาละถ้าจะแสดงความคิดเห็น ให้พูดทีละคน พูดพร้อมกันมันฟังไม่รู้เรื่อง ”
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเงียบลงพักใหญ่ แล้วก็ดังขึ้นกว่าเดิมว่า
“ คาบนี้ปล่อยให้โต้วาทีกันไปเลย ” นกเอี้ยงพูดพร้อมกับหาเสียงไปในตัวกับเพื่อน ๆ ว่า
“ จริงไหมพวกเรา”
และมีเสียงรับ
“ จริง ๆ ๆ ” ดังเซ็งแซ่
“ ฟังครูก่อน” เขาขอโอกาสพูดบ้าง เพราะนักเรียนกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดแทนเพื่อน ๆ ที่ถูกลงโทษด้วยการกล้อนผม ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าวิธีการลงโทษแบบนี้จะยังมีอยู่ในระเบียบของทางราชการหรือไม่
“ ก็เพราะมันผิดระเบียบของโรงเรียนนะสิ ” เขาพูดแบบไม่แน่ใจนัก
“ พวกเธอคิดดูซิ ถ้าคนข้างนอกเขาเห็นพวกเธอเดินไปด้วยทรงผมแปลก ๆ อย่างนี้จะคิดอย่างไร” เขาพยายามอธิบาย
“ ก็บอกแล้วว่า นักเรียนมีหน้าที่เรียน แล้วมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของพวกหนูทำไม ”
พวกเขาเถียงอย่างไม่ลดละ
“ ใช่นักเรียนมีหน้าที่เรียนเป็นหน้าที่หลัก แต่นักเรียนก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโรงเรียนด้วย ” ครูสมพงษ์พยายามอธิบายให้อิงกฎระเบียบเข้าไว้
“ ระเบียบอะไร ระเบียบอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ระเบียบที่บังคับและเหยียบย่ำน้ำใจเด็กอย่างนี้พวกเราไม่ยอมรับ พวกเราต้องใช้อารยะขัดขืน” นักเรียนกลุ่มนั้นอภิปรายต่อด้วยคำพูดยอดฮิตที่จำมาจากสื่อ
พอได้ยินคำว่า “ อริยะขัดขืน” สมพงษ์ก็สะดุ้ง เพราะคำ ๆ นี้ดูจะคุ้น ๆ หูและพวกผู้ใหญ่ที่ไม่พอใจอะไรก็ใช้อารยะขัดขืนนำมาใช้ก่อน เขาไม่นึกว่า ความคิดอย่างนี้จะลุกลามมาถึงเด็ก ม. ต้น อย่างกลุ่มของนกเอี้ยง
“ ถ้าพวกเธอไม่พอใจกฎระเบียบก็มีอยู่สองช่องทาง คือ เข้าพบผู้อำนวยการแจ้งให้ท่านทราบแล้วท่านจะหาทางแก้ไขให้ต่อไป หรือ อีกวิธีหนึ่ง พวกเธอก็เลือกสภานักเรียนเข้าไปเป็นตัวแทน และใช้เสียงข้างมากเข้าไปแก้ที่ระเบียบเสียก่อน”
เขาพยายามระงับความรู้สึกลึก ๆ เอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่แสดงสีหน้า ท่าทางพิรุธออกมาให้เด็กเห็น
“ วิธีที่ครูว่ามันใช้ไม่ได้ การเข้าพบผู้อำนวยการก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะแก้ไขให้หรือเปล่า ดีไม่ดีผู้เข้าพบอาจจะโดนข้อหาก่อความไม่สงบและถูกตัดคะแนนความประพฤติหรือเรียกผู้ปกครองมาพบก็ได้ โรงเรียนนี้เอะอะอะไรก็ตัดคะแนน ตัดคะแนน เอะอะก็เรียกผู้ปกครองมาพบ ”
กลุ่มของนกเอี้ยงยังไม่ยอมลดราวาศอก ออกความคิดเห็นต่อไปอีกยืดยาว
จากการแสดงความคิดเห็นในวันนั้นทำให้สมพงษ์ได้รู้อะไร ๆ มากขึ้น แต่เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยอะไรได้มากไปกว่า การให้คำแนะนำซึ่งไม่แน่ใจว่า คำแนะนำบางอย่างของเขาจะไปกระทบเข้ากับใครบ้างหรือไม่ เพราะได้ข่าวว่า หัวหน้าระดับแต่ละระดับ ก็มีระดับแห่งความเข้มในกฎระเบียบที่นักเรียนบอกว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสักเท่าใดนัก เอะอะไรก็เอาระเบียบมาข่มขู่อยู่เสมอ ๆ และลงโทษอย่างรุนแรงในความคิดของพวกเขา
สายแล้ว หมดคาบแรกไปนานแล้ว ฝูงนกเอี้ยงบินไปหลบแดดที่ต้นไม้หลังโรงเรียน ส่งเสียงอ้อยอีเอียง ๆ มาอย่างมีความสุข ไม่ยินดียินร้ายกับสังคมรอบข้างที่นับวันจะมีตึกสูง ๆ โรงงานใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ อันจะทำให้พวกมันไม่มีต้นไม้จะเกาะอาศัย ต้องหอบหญ้ามาทำรังในหน้าจั่วหรือหลังคาตึกแทน
ในคาบว่าง สมพงษ์ก็ไปนั่งตรวจงาน เตรียมความพร้อมอยู่ห้องพักของหมวด....เหมือนเช่นเคย
“ พูดดี นโยบายดี แต่ปฏิบัติไม่ได้”
นกเอี้ยง อาจารย์หญิงวัยเลยกลางคนไปแล้วเอ่ยขึ้น เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อคำพูดของท่านผู้อำนวยการที่พูดฝากไว้ในการประชุมประจำเดือนเมื่อวาน
“ ผู้อำนวยการไม่เข้าใจหัวอกครูผู้สอนบ้างเลย ” อาจารย์นกเอี้ยงระบายเอากับทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้น โดยไม่สนใจว่า ใครจะฟังหรือไม่ฟัง หรือนำไปฟ้องท่านผู้อำนวยการ หรือ ในใจลึก ๆ แล้วต้องการให้คำพูดของเธอไปเข้าหูผู้อำนวยการด้วยซ้ำไป
“ อะไร ๆ ก็มาลงที่ครู ” อีกคนหนึ่งพูดต่อ
“ นักเรียนไม่มาเรียน นักเรียนมาเรียนแต่ไม่เข้าห้องเรียน นักเรียนเข้าห้องเรียนแต่ไม่ฟังครูสอน
ผอ.เคยไปเดินดูบ้างไหม ”
ครูชายที่อาวุโสสูงสุดในหมวดแสดงความคิดเห็นบ้าง
“ นักเรียนทุกวันนี้มันไม่เห็นหัวครูอาจารย์หรอก เดินชนกันมันยังไม่ยกมือขอโทษเลย ”
อีกท่านหนึ่งระบายอารมณ์ออกมาอย่างเผ็ดร้อน
“ สั่งงานอะไรก็ไม่ทำ การบ้านก็ไม่ส่ง รายงานก็ไม่มี แล้วอย่างนี้จะให้คะแนนได้อย่างไร ”
อีกคนพูดถึงความน้อยอกน้อยใจนักเรียนบางกลุ่มที่สำลักเสรีภาพเสียจนครูพูดอะไรไม่ได้ เวลาเรียนก็เอาแต่คุยกัน เอากีตาร์ขึ้นมาดีดเล่นบ้าง ส่องกระจกทั้งวัน ฟังแต่บลูทูธ หรือ โทรศัพท์ตลอดเวลา ยังกะมีธุรกิจพันล้านยังไงยังงั้น ไม่เคยสนใจในเรื่องการเรียนการสอนเลย ทำให้คุณภาพของการศึกษาแย่ลงเรื่อย ๆ
“ วันครู คือ วันด่าครู ” อีกคนระบายโพล่งออกมา
“ ทีวีทุกช่อง พิธีกรทุกคน ตั้งแต่เช้ายันดึก ด่าแต่ครูอย่างเดียว โดยเฉพาะพวก....ที่อ้างตนว่าเป็นนักอะไรต่อมิอะไรนั่นยิ่งแล้วใหญ่....อยากให้พวกมันมาสอนดูซิ จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ไหม ”
“ ทุกวันนี้การปกครองแย่มาก ๆ ทำโทษเด็กก็ไม่ได้ ” ครูหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียนพูดบ้าง
ทั้ง ๆ ที่บอกว่าทำโทษเด็กไม่ได้ แต่ยังเห็นนักเรียนยืนโอบเสาให้ตีตูด หรือ ด่าตะคอก ขู่เข็ญ นักเรียนอยู่เสมอ ๆ หรือทำโทษด้วยวิธีให้ขนหิน ขนทรายจนค่ำมืดเป็นประจำ
“ เรื่องอย่างนี้จะให้ฝ่ายปกครองและกิจการนักเรียนแก้ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก มันช่วยกันทุกฝ่าย ”
หัวหน้าฝ่ายปกครองพูดบ้าง
ดอกไม้สีสดสวย เสียงเพลงอวยพรวันเกิดจบลง ก็ถึงวาระการประชุมอย่างเป็นทางการ ประธานในที่ประชุมซึ่งก็คือผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นเอง เปิดการประชุมว่า
“ การจัดการเรียนฟรี 15 ปี จะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ”
ผู้อำนวยการกล่าวฟันธงเสียงดังออกลำโพง วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา
“ มันจะไม่ได้ผลทางปฏิบัติ ”
“ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ก็จะต้องถูกยุบไม่น้อยกว่า 2 ห้อง ”
“ บุคลากรลูกจ้างชั่วคราวก็จะต้องเลิกจ้าง ครูอัตราจ้างก็จะไม่มี ”
ท่านพูดวาดภาพให้เห็นว่า จากนโยบายจัดการศึกษาฟรี ไม่ให้โรงเรียนเก็บค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มได้อีกว่า จะเป็นสาเหตุให้บริหารโรงเรียนไม่ได้ ทำผลสัมฤทธิ์ด้านต่าง ๆ ลดไปด้วย
“ ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนอะไรทั้งนั้น ทั้งเสื้อผ้าฟรี อุปกรณ์การเรียนฟรี จะได้คนละเท่าไหร่ อย่างไร ยังไม่มีอะไรชัดเจนทั้งสิ้น จะจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร ให้โรงเรียนทำเองหรือมาจากเขตพื้นที่ ”
ท่านผู้อำนวยการกล่าวปรารภต่อที่ประชุมครูประจำเดือน ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารดีเด่นและวิทยากรระดับต้น ๆ ของเขตพื้นที่การศึกษา ขอให้ทุกคนเตรียมรับมือกับวิกฤติการศึกษาที่จะเกิดขึ้นต่อไป และได้แสดงความคิดเห็นอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ อย่างแหลมคมอีกมากมาย
การประชุมยุติลงไปแล้ว นักเรียนกลับบ้านเกือบหมดแล้ว เพราะครูประชุมทีไรต้องปล่อยเด็กกลับก่อนด้วยการร่นคาบเรียนทุกครั้ง
แสงแดดอ่อน ๆ ทอทาบอาคารเรียนเป็นเงาทอดยาวตามแสงตะวัน มันเป็นบรรยากาศยามเย็น นกเอี้ยงฝูงเดิมบินมาเล่นน้ำ หากินเหยื่อ และใช้เป็นที่ระบายอารมณ์จิกตีกัน ส่งเสียงเจื้อยแจ้วดังสนั่นไปทั่ว
สมพงษ์นั่งเหม่อใจลอยดูฝูงนกเอี้ยงอยู่บนอาคาร พลางนึกถึงคำพูดของนกเอี้ยงศิษย์รักคนพูดเก่งประจำห้อง นึกถึงคำพูดของนกเอี้ยงอาจารย์ประจำกลุ่มภาษาไทยผู้มากด้วยประสบการณ์และอุดมการณ์ คำพูดของผู้อำนวยยังดังก้องหูอยู่ตลอดเวลาว่า
เขาเริ่มวิตกกังวลว่า การศึกษาของไทยล้มเหลวจริง ๆ หรือ รัฐมนตรีคนแล้วคนเล่า ผลัดกันเข้ามาแล้วแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลยหรือ แล้วใครจะเป็นผู้มาแก้วิกฤติทางการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ชี้ตรงไหนก็เจอปัญหาตรงนั้น หากระบบการศึกษายังไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกจุดแล้วไซร้
ก็คงจะเหมือนกับฝูงนกเอี้ยงที่เอาแต่แหกปากร้องทะเลาะกันตลอดเวลา โดยไม่คิดเฉลียวใจว่า ต้นไม้และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กำลังจะเปลี่ยนไป จะต้องไปทำรัง วางไข่ตามซอกตึกและหลังคา อนาคตของเยาวชนและของชาติจะเป็นเช่นไร จะเป็นเหมือนนกเอี้ยงฝูงนี้หรือ เอาแต่ส่งเสียงโพนทะนาต่อว่าผู้อื่นว่า เป็นต้นเหตุแห่งความล้มเหลวทั้งหลายทั้งปวง โดยไม่มองที่ตัวเองว่า มีส่วนทำให้การศึกษาของชาติทรุดหนักลงไปด้วยหรือไม่
ค่ำมืดสิ้นแสงอาทิตย์แล้ว เหลือแต่แสงไฟสลัว ๆ จากหลอดไฟเก่า ๆ ริมรั้ว ฝูงนกเอี้ยงกลับรังนอนไปแล้ว นักเรียนและครูก็กลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่ความมืดและความเงียบสงัดเข้ามาปกคลุม สมบูรณ์ยังคงนั่งเหม่อใจลอย คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน ไม่สามารถสลัดความคิด ความวิตกกังวลออกไปได้ว่า
อนาคตของการศึกษา อนาคตของเด็กไทยจะเป็นอย่างไร
อ่านเรื่องนี้จบแล้วอดไม่ได้ที่จะร่วมแสดงความคิดเห็น
ปัญหาเรื่องการศึกษาของประเทศไทยมีมานานมาก ครั้งหนึ่งเคยมีโครงการ "การศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์" สนับสนุนโดยธนาคารกสิกรไทย ต่อมาผู้ร่วมโครงการถูกเรียกว่า "เพื่อนร่วมทางปฏิรูปการศึกษาไทย" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดที่จะร่วมมือกันยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย แต่ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้การศึกษาของไทยก็ยังจมปลัก
ฉันเคยถามหลายคนว่าการเรียนในระบบการศึกษามีทั้งหมดกี่ปี ปีละกี่วัน วันละกี่ชั่วโมง แล้วบอกพวกเขาว่าถ้าเราฝากอนาคตของชาติไว้กับการศึกษาในระบบ(ยังไม่ต้องคิดถึงว่าระบบล้มเหลวหรือไม่)ก็ถือเป็นความโง่อย่างที่สุดเพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ถ้าเราเข้าใจคำกล่าวที่ว่า "มองกว้าง คิดไกล ใฝ่รู้ และเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยทุกคนเป็นครูทุกที่เป็นห้องเรียน" แล้วจัดการศึกษาเพื่อให้เด็กก้าวไปในแนวทางดังกล่าว ก็เชื่อว่าคุณภาพการศึกษาไทยคงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มาก
ตลอดชีวิตของฉันแทบไม่เคยได้ยินว่าโรงเรียนจะทำให้นักเรียนเข้าใจถึงเหตุผลที่พวกเขาต้องมาเรียน ทุกวันนี้การไปโรงเรียนมีเหตุผลแคบ ๆ เพื่อ "เรียนหนังสือ" และเราก็ยังปล่อยให้เป็นไปอยู่เช่นนั้น
จะมีประโยชน์อะไรถ้าการศึกษาเพียงแต่สร้างคนที่จะมาทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ แลกกับค่าตอบแทน เพราะการที่สังคมจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้นั้นต้องการอะไรมากกว่านั้นมากนัก
ทุกวันนี้การเรียนรู้จากนอกห้องเรียนป้อนและปลูกฝังความรู้สึกนึกคิดที่ไกลจากความเป็นมนุษย์ให้แก่ทุกคนในสังคมมากขึ้น ๆ โดยไม่มีใครจัดการอะไร จึงไม่แปลกที่คนไทยสมัยนี้จะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แค่คำว่า "เหตุผล" เราก็เอาไปปนกับคำว่าเหตุหรือเหตุจูงใจ สะอิดสะเอียนที่สุดเวลาที่ได้ยินใครบอกว่า "เราต่างมีเหตุผลของตัวเอง" โดยเหตุผลที่อ้างเป็นแค่เหตุหรือเหตุจูงใจเท่านั้น และทุกวันนี้ก็ยังมีการสร้างวาทะกรรมและมายาคติผิด ๆ เพื่อประโยชน์แฝงเร้นของผู้สร้างแล้วผู้คนในสังคมก็หยิบมาอ้างในยามที่จะฉกฉวยประโยชน์
ที่น่าสลดใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับการศึกษาในระบบคือวิธีคิดที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาที่ดูจะสะเปะสะปะไร้ทิศทางขนาดข้อสอบระดับปริญญาตรียังมีคำถามว่า "ใครเป็นผู้แต่งกามนิต-วาสิฏฐี" ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ช่วยเขียนวิทยานิพนธ์ให้นักศึกษา
ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้คิดจะติเตียนใครแค่อยากจะบอกว่าถ้าเราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหนและจุดหมายของเราอยู่ที่ไหนเราก็คงกำหนดเส้นทางที่เหมาะสมไม่ได้หรอกนะ
ช่วยกันแสดงความคิดเห็นครับ
ระบบการศึกษาของไทยมันล้มเหลวมานานแล้ว ด้วยเหตุสามประการ
1.นักเรียนมาโรงเรียนแล้วไม่เข้าโรงเรียน
2.เข้ามาโรงเรียนแต่ไม่ขึ้นเรียน
3.ขึ้นเรียนแต่ไม่สนใจฟังครูสอน
4.เอาแต่เล่นเกม โทรศัพท์ ฟังซาวด์เบ้าท์
5.ไม่สนใจเนื้อหาก ไม่สนใจครูสอน
ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาแสดงความคิดเห็น อยากจะเขียนเรื่องอื่น ๆ อีกมาก แต่จำกัดที่ผมไม่ใช่นักเขียน ทั้งเนื้อเรื่องและถ้อยคำสำนวนไม่เหมาะสมกลมกลืน ที่สำคัญไม่มีเวลา และขยันไม่พอครับ