ดิฉันติดตามอ่านเรื่องของโรงเรียนชาวนาจากบล็อกของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เสมอๆ แม้จะไม่ได้อ่านทุกตอนอย่างละเอียด แต่ก็เห็นภาพกระบวนการเรียนรู้ของชาวนา ได้เห็นศักยภาพของชาวนา รู้สึกชื่นชมนักเรียนโรงเรียนชาวนาที่มีการศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ได้ไม่จบสิ้น
จากต้นแบบโรงเรียนชาวนา นำไปสู่วิธีการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยต้องมีชีวิตอยู่กับเบาหวาน และเบาหวานไม่ใช่ภาวะที่อยู่นิ่ง แต่มีความเป็นพลวัตร แถมเรื้อรังยาวนาน ผู้ป่วยจึงต้อง "เรียนรู้ตลอดชีวิต" ในเรื่องการดูแลตนเองและการจัดการกับความเจ็บป่วย ย้ำว่าเป็น "การเรียนรู้" ของผู้ป่วย ไม่ใช่ "การสอน" โดยเจ้าหน้าที่ที่เราคุ้นเคยกัน ทำอย่างไรสิ่งนี้จึงจะเกิดขึ้นได้
สิ่งแรกที่ควรทำคือการปรับเปลี่ยนที่ระบบบริการผู้ป่วย โดยเฉพาะความคิด ความเชื่อและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ โดยอย่าทำตัวว่า "รู้มากกว่า" อย่าเอาแต่ความรู้เชิงทฤษฎีไปใส่และคาดหวัง (คาดคั้น) ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตาม แต่ควรเปิดโอกาส เอื้ออำนวย และสนับสนุนให้ผู้ป่วยศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ด้วยตนเอง และต้องเข้าใจว่าในกระบวนการเรียนรู้ของผู้ป่วย มักมีการลองผิดลองถูก จนกว่าจะได้แบบแผนที่ใช้ได้ผลสำหรับเขา เจ้าหน้าที่ต้องเอื้ออำนวย ไม่ใช่ปฏิเสธหรือขัดขวางกระบวนการเรียนรู้นี้
ระหว่างการเรียนรู้ ต้องมี "ตัวชี้" ที่จะช่วยบอกทิศทาง เช่น ค่าระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยผู้ป่วยในการเรียนรู้เรื่องอาหาร การตรวจเลือดก่อนอาหารและหลังอาหารสักระยะหนึ่ง จะบอกได้ว่าอาหารแบบใดมีผลต่อน้ำตาลในเลือดอย่างไร ผู้ป่วยก็จะเรียนรู้และปรับด้วยตนเองได้
ที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ป่วยเบาหวาน เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพยังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับการทำหน้าที่เป็นผู้เอื้ออำนวยการเรียนรู้ของผู้ป่วย ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งคือความเชื่อเกี่ยวกับคน ว่า "คนมีศักยภาพ มีเหตุผล รักตัวเอง ต้องการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น"
ถ้าใครยังไม่รู้ซึ้งในเรื่องนี้ ดิฉันขอแนะนำให้อ่านเรื่องโรงเรียนชาวนา แล้วท่านจะเห็นประจักษ์
วัลลา ตันตโยทัย วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘
ไม่มีความเห็น