ณ โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง มีหนูน้อยหน้าใสคนหนึ่ง ด้วยความแอบชื่นชอบโรงเรียนนี้มานานแล้ว เมื่อถึงวัยเข้าเรียนอนุบาลหนึ่ง ก็ไม่ลังเลใจเลย ที่จะขอคุณแม่เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณแม่เตือนก่อนแล้วว่า โรงเรียนแห่งนี้การเรียนเข้มงวดมาก และคุณครูก็จะเอาใจแต่บรรดาลูกท่านหลานเธอ แต่หนูน้อยก็ไม่หวั่น ด้วยความมุ่งมั่นว่าตัวเองทำได้ แล้วด้วยความรักในโรงเรียนแห่งนี้เป็นทุนเดิม
เมื่อถึงวันเปิดเรียนวันแรก หนูน้อยคนนี้ รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ไปโรงเรียน วันนี้หนูน้อยไปโรงเรียนแต่เช้า เพียงเพื่ออยากเจอหน้าคุณครูและเจอหน้าเพื่อนใหม่ วันนี้บรรยากาศในโรงเรียนดูวุ่นวายมาก เนื่องจากเด็กอนุบาลหนึ่งหลายคนยังร้องไห้กระจองอแง ไม่ยอมจากอกพ่อแม่ จึงเกิดอาการยื้อยุดฉุดกระชากกันระหว่างพ่อแม่ กับลูก ผิดกับหนูน้อยซึ่งตั้งหน้าตั้งตารอวันนี้มานานแล้ว ถึงแม้จะเป็นวันแรกก็สามารถเดินเข้าโรงเรียนได้อย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อถึงห้องเรียน หนูน้อยได้รู้จักกับครูประจำชั้น ถึงแม้จะเป็นการเจอกันครั้งแรก แต่หนูน้อยก็รู้สึกรักครูคนนี้เต็มหัวใจ เปรียบเสมือนเป็นแม่คนที่สองเลยทีเดียว ถึงแม้ว่า คุณครูคนนี้ ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับบรรดาลูกท่านหลานเธอ ตามคำบอกกล่าวของคุณแม่ ไม่ได้สนใจหนูน้อยคนนี้เท่าที่ควร
วันนี้คุณครูขออาสาคนที่มาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้อง คอยดูแลเพื่อน ๆ ในห้อง ทั้งในเรื่องของการติดตามเรื่องการบ้าน คอยดูแลเรื่องอาหาร เรื่องที่อยู่หลับนอน หนูน้อยหน้าใสคนนี้ ไม่ลังเลเลยที่จะขันอาสารับหน้าที่นี้ ด้วยยังจำคำที่แม่พูดเสมอได้ว่าไม่มีใครเลือกงานได้หรอก ฉะนั้นจงรักในงานที่ทำ แต่สำหรับหนูน้อยคนนี้มันเป็นมากกว่านั้น เพราะเขาได้ทำในงานที่รักวันแล้ววันเล่า หนูน้อยคนนี้ไม่เคยเบื่อในงานที่ได้รับมอบหมายเลย ไม่ว่าจะยกการบ้านไปส่งที่ห้องพักครู คอยเตรียมนมให้เพื่อน ๆ ในห้องทาน เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ก็ต้องคอยดูแลตักอาหารให้เพื่อน ๆ จนกระทั่งเก็บจานหลังจากเพื่อน ๆ ทานข้าวเสร็จ เมื่อเวลาตื่นนอนตอนบ่าย ก็ต้องคอยดูแลเก็บที่นอนให้เพื่อน ๆ หลายครั้งที่เด็กน้อยคนนี้ ไม่เคยได้ทานอาหารกลางวันตรงเวลาเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ แม้กระทั่งเวลาเข้านอน บางวันก็ไม่ได้นอนพักผ่อนตอนกลางวัน แต่หนูน้อยคนนี้ไม่เคยบ่น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้รับการถามไถ่จากครูที่หนูน้อยชื่นชมเลย หนูน้อยคิดแต่เพียงว่า ในเมื่อเรามีโอกาสได้ทำในงานที่รัก ทำเพื่อครูที่รัก และเพื่อโรงเรียนที่รัก ฉะนั้น ต้องทุ่มเท เอาใจใส่ให้งานที่คุณครูมอบหมายสำเร็จลุล่วงได้ดีที่สุด เด็กอนุบาลหนึ่งคนนี้ คิดได้แค่นี้จริง ๆ
จนอยู่มาวันหนึ่ง ครูใหญ่เห็นในความตั้งใจของหนูน้อยคนนี้ ก็เลยตอบแทนหนูน้อยคนนี้โดยการให้ทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนได้ฟรี ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารกลางวัน ถามว่าเป็นความต้องการของหนูน้อยคนนี้หรือไม่ ก็เปล่า เพราะหนูน้อยคนนี้ไม่ได้ขาดแคลนถึงขนาดไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารกลางวัน แต่ที่รับอาสาคุณครู ก็เพราะรัก เพราะคำว่ารัก เพียงคำเดียว
คืนนั้น ก่อนเข้านอน หนูน้อยเล่าให้คุณแม่ฟังว่า ครูใหญ่เมตตาให้ทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนได้ฟรี หนูน้อยถามคุณแม่ว่า
ครูใหญ่ ใจดีอย่างงี้ทุกคนเลยเหรอค่ะแม่ ทำไมเขาถึงให้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องให้เราหละคะ
คนที่เขาเป็นผู้ใหญ่ จะดูแลเอาใจใส่คนที่เขาต้องรับผิดชอบหมดหละจ๊ะ มันจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดความรักความผูกพันขึ้นต่อองค์กรของเขา
แล้วไอ้ความรัก ความผูกพันต่อองค์กร มันคืออะไรหรือค่ะแม่
มันก็คือ ความรู้สึกดี ๆ ของเราที่มีต่องาน ซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้เราเกิดความกระตือรือล้น อุทิศตน ทุ่มเทกาย ใจ และเสียสละในการทำงาน เหมือนที่หนูมีความรู้สึกตอนนี้ไงหละค่ะ
จริงด้วยสิคะแม่ ถึงแม้หนูจะรู้สึกเหนื่อยกับงานแค่ไหน หรือบางครั้งอาจเกิดการท้อแท้บ้าง แต่หนูก็ไม่เคยถอยเลยนะคะ หนูกลับรู้สึกว่าหนูมีพลังในการทำงานเต็มที่ ทุกครั้งที่หนูตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน หนูอยากไปโรงเรียน มีความรู้สึกว่างานที่คุณครูมอบให้หนูทำ เป็นงานที่สำคัญและมีความหมาย เป็นเสมือนแรงบันดาลใจให้หนู แล้วในแต่ละวันเวลาผ่านไปเร็วมาก หนูมีความสุขและสนุกที่ได้ทำงานหนัก
แล้วหนูคิดว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้หนูรู้สึกอย่างงี้
คงเป็นเพราะครู และครูใหญ่ มั๊งค่ะแม่
ถูกต้องแล้วลูก การที่คนเราจะเกิดความรักความผูกพันกับอะไรสักอย่าง จงส่งผลต่อการทุ่มเทกายใจ ในงานที่ได้รับมอบหมาย บางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย เพียงแค่เรารู้สึกรักในคนที่เป็นต้นแบบของเรา ( Leadership is Everything)
แสดงว่า กว่าครูใหญ่ จะได้เป็นครูใหญ่ คงต้องยากลำบากมากเลยสิคะ
ถูกต้องแล้วลูก การที่จะเป็นครูใหญ่ที่ดีได้นั้น ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ นำทั้งสองอย่างนี้มาประยุกต์ใช้ด้วยกันอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการบริหารโรงเรียน การบริหารครูในโรงเรียน จึงจะทำให้โรงเรียนเกิดการพัฒนาได้ ครูใหญ่ที่ดีนั้น จะต้องรู้จักเลือกใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ให้ถูกกาละเทศะ เพื่อให้ครูเกิดความศรัทธาที่จะทุ่มเททำงาน และทำด้วยความเต็มใจ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การพูดจาสื่อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งองค์กร
โอ้โห แสดงว่า โรงเรียนที่สอนให้คนเป็นครูใหญ่ คงจะต้องเข้มงวดมากเลยนะคะ ถึงทำให้ได้ครูใหญ่ที่ดีแบบนี้
คืนนั้น หนูน้อยนอนหลับด้วยความเป็นสุข เนื่องจากรู้สึกอิ่มเอม กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำเพื่อคนที่เขารัก ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ได้ฟังแม่เล่า ถึงแม้จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
อยู่มาวันหนึ่ง ครูใหญ่ ถูกย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น แล้วมีครูใหญ่คนใหม่มาดูแลโรงเรียน เป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง จบการศึกษาระดับสูง หนูน้อยคิดในใจว่า โรงเรียนของเขาคงจะต้องพัฒนาไปมากกว่านี้แน่ เพราะครูใหญ่คนใหม่ มีหลาย ๆ อย่างที่แม่เคยบอก
หนูน้อยยังคงมุ่งมั่นทำงานที่ครูมอบหมายอย่างไม่ย่อท้อ เหมือนเฉกเช่นทุก ๆ วัน แล้วยังแอบภูมิใจนิด ๆ ในครูใหญ่คนใหม่ของเขา มันทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมทุกครั้งที่นึกถึงครูใหญ่
ฟ้า ฟ้า แย่แล้ว แย่แล้ว (เพื่อนร่วมห้องวิ่งหน้าตากระหืดกระหอบ)
มีอะไรรึเปล่า
ได้ข่าวว่า ครูใหญ่ ถามถึงฟ้าใหญ่เลย ว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมต้องยกเว้นค่าอาหารกลางวัน พอครูใหญ่รู้ว่า ครูใหญ่คนเก่ายกเว้นค่าอาหารกลางวันให้ฟ้า เพราะฟ้ามาช่วยงานพิเศษของโรงเรียน
แล้วไงเหรอ เราอาสาทำงานนี้ก่อนที่ครูใหญ่จะให้เราทานข้าวฟรีด้วยซ้ำ แล้วเราไม่เคยหวังผลตอบแทนตรงนี้เลย เพียงแค่ครูใหญ่ตอบแทนในความดีของเราเท่านั้น
นั่นหนะสิ แต่เห็นครูใหญ่บอกว่า เป็นการละเมิดกฎของโรงเรียน โรงเรียนเราไม่เคยมีนโยบายแบบนี้
หนูน้อยได้ฟังก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ เพราะคิดว่าถึงแม้เขาจะไม่ให้ทานข้าวฟรี ตัวเองก็ยังคงทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายของคุณครูอยู่เหมือนเดิม เพราะยังเชื่อมั่นในความรักที่มีต่อครู ต่อโรงเรียน ต่อครูใหญ่บ่ายวันนั้น ทางโรงเรียนมีประกาศว่า “ขอยกเลิกการงดเว้นค่าอาหารกลางวันของเด็กหญิงฟ้า ทั้งนี้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”หนูน้อยได้ฟังประกาศนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แค่ประหลาดใจเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ยังยินดีที่จะช่วยงานครูในห้องเรียน ช่วยงานในโรงอาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่มีค่าตอบแทนแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากยังเชื่อมั่นในความรักที่มีต่อครู ต่อโรงเรียน แต่เริ่มไม่มั่นใจในความรักที่มีต่อครูใหญ่หนูน้อยวิ่งกระหืดกระหอบเข้าห้องเรียน ตั้งใจนำข่าวนี้มาบอกครู ปรากฎว่าสิ่งที่ได้รับฟังจากปากครูนั่นคือ ครูทราบเรื่องนี้ก่อนแล้ว เขาเรียกครูไปคุยก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีประกาศนี้ออกมา หนูน้อยได้ฟังดังนั้น น้ำตาไม่รู้มันมาจากไหน มันไหลพร่างพรูออกมาเป็นสาย ครูรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ครูซึ่งหนูน้อยรักเหมือนแม่คนที่สอง ครูซึ่งเป็นต้นแบบในทุก ๆ เรื่อง รู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว แต่ไม่เคยบอกให้หนูน้อยได้รับรู้เลย เหตุผลที่ครูบอกว่า ครูไม่สามารถเล่าให้ฟังได้ เพราะครูใหญ่บอกว่า ครูใหญ่จะบอกเอง นี่ครูกลัวครูใหญ่มากขนาดนี้เลยเหรอ คนที่เรารักเหมือนแม่ กลับไม่บอกเรื่องนี้ กับลูกของตัวเอง เพียงเพราะว่า คำสั่งของครูใหญ่ มันคงจะจริงเหมือนที่แม่เคยบอกว่า Leadership is Everything ครูใหญ่มีบทบาทกับครูมากมายขนาดนี้เชียวหรือไหนแม่เคยบอกว่า คนที่เขาเป็นครูใหญ่ เขาจะมาจากโรงเรียนที่สอนให้เขาเป็นครูใหญ่ที่ดี แล้วทำไมครูใหญ่แต่ละคนถึงไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เขาน่าจะมาจากโรงเรียนเดียวกัน หนูน้อยรู้สึกสับสนมาก ต่อไปหนูน้อยจะทำอย่างไร ในเมื่อขณะนี้ หนูน้อยหมดความรักในครูใหญ่ หมดความรักในครู แต่หนูน้อยยังรักโรงเรียนนี้อยู่
ใครก็ได้ช่วยหนูน้อยคนนี้ที
คุณลุงบวร ป้าเม่ย น้าขจิต น้าจิ๊บ น้าชายขอบ น้าโอ๋ น้าศิริ ฯลฯ และอีกหลาย ๆ ท่าน ช่วยหาคำตอบให้หนูน้อยคนนี้ด้วยนะคะ
หมายเหตุ
เนื้อหาและตัวละครในเรื่อง เป็นเพียงเรื่องสมมุติทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงใคร ทั้งสิ้น หากบังเอิญเนื้อหาไปพ้อง หรือ ตรงกับใคร ผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้
หนูฟ้าคนดีของลุง
ได้อ่านเรื่องของหนูแล้วลุงอยากบอกหนูโดยไม่ลังเลเลยว่าหนูเป็นคนดีที่สุด คนดีที่นับวันแต่จะหายากยิ่งในสังคมปัจจุบัน หนูมองโลกในแง่ดีเสมอ คาดหวังว่าโลกนี้จะสวยสดงดงามตามจินตนาการอันบริสุทธิ์ของหนู หนูชอบอาสาที่จะทำความดีโดยปราศจากข้อสงสัย หนูอย่าร้องไห้อีกนะจ๊ะ หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูมันเกิดขึ้นจากความพิกลพิการและบิดเบี้ยวของสังคมจ้ะ ซึ่งเมื่อหนูโตขึ้นหนูจะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ลุงดีใจมากที่หนูเป็นเด็กดี มีจิตใจที่เป็นสาธารณะ รักโรงเรียน หนูต้องมาโรงเรียนและตั้งใจเรียนนะจ๊ะ คำตอบสำหรับข้อสงสัยของหนูรออยู่ที่เส้นชัยแห่งชีวิตจ้ะ ลุงหวังไว้อย่างสูงส่งว่าจะเห็นหนูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็งทั้งกายและใจ พร้อมที่จะรับฟังคำตอบที่รออยู่ข้างหน้าอย่างรู้เท่าทัน เพื่อหนูและเพื่อนๆ ของหนูจะได้ช่วยกันเยียวยาให้แก่สังคม ลุงอยู่ใกล้ๆ หนูตลอดเวลาจ้ะ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอีก หนูอย่าลังเลที่จะเล่าให้ลุงฟังนะ หรืออาจเล่านิทาน การบ้านของหนูก็ได้ อยากให้หนูฟังเพลงนี้ก่อนนอนแล้วหลับฝันดีนะจ๊ะ
จดหมายส่วนตัวถึงครูใหญ่คนที่ ๑
ผมเข้าใจในเจตนาดีของท่านที่ยกเว้นค่าอาหารกลางวันให้กับเด็กหญิงฟ้า ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการตอบแทนการทำความดีของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ผมอยากเรียนตรงๆ กับท่านว่า ท่านไม่เข้าใจในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาเสียเลย ไม่รู้จักเด็กเป็นรายบุคคลด้วย เด็กหญิงฟ้าตั้งใจทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนหรือมีอภิสิทธิ์ใดๆ ที่แตกต่างจากผู้อื่น สิ่งที่ท่านหยิบยื่นให้มิได้เป็นความต้องการของเขาเลย ท่านอาจมีเจตนาดี แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ผมเรียนให้ทราบด้วยความเคารพครับ
ต่างคนต่างก้มีเหตุผลของแต่ละคน ครูใหญ่อาจมองไปอีกแบบ เขาอาจมองในฐานะของผู้บริหาร และหนูน้อยควรทำหน้าที่ๆตัวเองรักต่อไป งานทุกอย่างมีขัดแย้งกันบ้าง แต่ผลลัพท์ทุกคนอยากให้โรงเรียน เป็นโรงเรียน ที่น่าอยู่ หนูน้อยสู้ต่อไปครับ อย่าเอาอุปสรรคครั้งนี้มาลดความตั้งใจ ถ้าผ่านครั้งนี้ไปได้ หนูน้อยก็จะเข้มแข็งขึ้น (มันเป็นแบบทดสอบจิตใจ) เข้มแข็งไว้ครับ อันนี้มองโลกในแง่ดี ลองดูอีกสักตั้ง
ถ้าลองทำแล้ว ครูใหญ่มีอติ หรือ หน้าที่ๆรับผิดชอบมีปัญหา ตรงนั้น ค่อยมาว่ากันอีกที นะครับ อย่างไรผมก็เอาใจช่วยเด็กน้อยผู้มีความมุ่งมั่น
"ณ โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง มีหนูน้อยหน้าใสคนหนึ่ง ด้วยความแอบชื่นชอบโรงเรียนนี้มานานแล้ว เมื่อถึงวัยเข้าเรียนอนุบาลหนึ่ง ก็ไม่ลังเลใจเลย ที่จะขอคุณแม่เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณแม่เตือนก่อนแล้วว่า โรงเรียนแห่งนี้การเรียนเข้มงวดมาก และคุณครูก็จะเอาใจแต่บรรดาลูกท่านหลานเธอ แต่หนูน้อยก็ไม่หวั่น ด้วยความมุ่งมั่นว่าตัวเองทำได้ แล้วด้วยความรักในโรงเรียนแห่งนี้เป็นทุนเดิม" ....ในสถานการณ์เช่นนี้ หนูคงต้องมองบวกสุดขั้ว...จึงจะพ้นห้วงแห่ง....."ใจตน"...ไปได้...ขอเป็นกำลังใจ
ป้าโอ๋ (น่าจะไม่ใช่น้า นะคะ) อยากบอกให้น้องฟ้า ทำความรู้จักกับ พรหมวิหารสี่ ของลุง Handy เพื่อจะได้หัดทำความรู้จักกับโลกแห่งความจริงและรู้จักทำใจค่ะ
เมื่อรู้จักแล้ว คราวนี้ก็ตัดสินใจโดยเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง ถ้าทำแล้วมีความสุขก็ทำ ถ้าต้องฝืนใจก็หยุดค่ะ
สำหรับหัวข้อเรื่อง มีตัว t เกินมาตัวนึงนะคะ
น้องฟ้า ฝากขอบคุณ คุณลุง คุณป้า คุณน้า ทั้งหลาย มากค่ะ ที่ช่วยทำให้น้องฟ้า ได้เรียนรู้ถึงสัจธรรมของโลก
แต่นี่คือ บทสรุป ที่ครูใหญ่ ได้เรียกน้องฟ้าไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว หลังจากที่ครูใหญ่ รับรู้ว่า น้องฟ้ารู้สึกเช่นไร กับสิ่งเหล่านี้
ครูใหญ่บอกว่า ให้น้องฟ้าฟังให้มาก คิดให้มาก แต่พูดให้น้อย เรื่องไหนที่ไม่เห็นด้วย ขอให้เก็บความไม่เห็นด้วยไว้ในใจ ไม่เช่นนั้น สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวบั่นทอนให้จิตเราไม่นิ่ง ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองในการกระทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม
น้องฟ้า รู้แล้วค่ะ ว่าน้องฟ้าจะต้องทำอย่างไรต่อไป