“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้…” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2517)
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี 2517 โดยเริ่มต้นจากพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตร เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 และพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2517 พระองค์ทรงได้เน้นย้ำ “พอควร พออยู่ พอกิน มีความสงบ” แม้จะได้ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่อง “พอมี พอกิน” มาตั้งแต่ปี 2517 และได้ทรงพระราชทานแนวคิดเรื่อง “ทฤษฎีใหม่” ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา แต่ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรัฐบาลหรือภาคธุรกิจเอกชน ก็มิได้ตระหนักในคำเตือนของพระองค์ โดยในปี 2539 ก็ได้ทรงเตือนอีกครั้งหนึ่งให้มี “ความรอบคอบ”และ “อย่าตาโต” แต่ก็ไม่ได้เกิดผลในการนำไปปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2540 จึงเป็นที่มาของพระราชดำรัสที่คนไทยจำใส่เกล้ากันได้จนถึงปัจจุบันที่ว่า “การเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง” ซึ่งนับได้ว่าเป็นที่มาของเศรษฐกิจพอเพียงในปัจจุบัน
ขอแสดงความยินดีกับ blog ใหม่ครับ
ธวัช
ดีดีดีดีดีมากมากมากมากมาก
ขอบคุณนะค่ะ...ดีมากๆ
ขอบคุนนะคับ ... ทำได้ดีมากเลยคับ .....