พลังความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณ…หวนกลับคืน


ไม่ต้องเน้นคำว่า “พิการ” ให้มาก เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเอง “พิการ” อะไรเลย

     ช่วงบ่าย 3 ครึ่ง ของวันนี้ (30 ก.ย.49) ผมได้รับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามือมือจากพี่พรทิภา เสนชู พยาบาลวิชาชีพ ผู้รับผิดชอบงานคนพิการ ของ รพ.ตะโหมด คนที่เคยบันทึกไว้ที่บันทึก พี่มีความสุขมาก (จังเลย) ว่าได้รับเอกสารบันทึกดังกล่าวที่ผมเขียนถึง จากพี่หรอย ที่เป็นคนปริ้นท์ไปให้อ่าน เสียงพี่เขาถ่ายทอดมาว่า...เมื่ออ่านแล้วอึ้ง รู้สึกดีมากเลย เขียนได้... ทำให้พี่มีพลังอย่างที่สุด ฯลฯ และได้กล่าวขอบคุณผม ก่อนจะขอให้ผมได้พูดกับน้องดอน

     น้องดอน ขวัญทอง ซึ่งเป็นประธานคนพิการตำบลตะโหมด (รองประธานกรรมการชมรมเพิ่มพูนพลังอำเภอตะโหมด) ได้เล่าเรื่องการเตรียมทีมไปแข่งขันกีฬาคนพิการที่ จว.ตรัง ในวันที่ 2 ก.ย. 49 นี้ พร้อมกับชวนให้ผมไปร่วมเชียร์ด้วย แต่ผมติดสอน นศ.ที่ ม.ทักษิณ จึงได้แต่เสียดาย ที่ไม่สามารถไปได้

     โดยสรุปคือทางสภาคนพิการทุกประเภทจังหวัดพัทลุงจะส่งนักกีฬาเข้าร่วม 30 คน ที่เหลือจะเป็นสมาชิกที่ตามไปเชียร์ โดยมีรถบัสจาก ค่ายโคกสูง จว.พัทลุง (กองพันทหารช่างฯ) รถบัสจากเทศบาลแม่ขรี อ.ตะโหมด อย่างละคัน และรถกระบะจากเทศบาลตะโหมด อ.ตะโหมด 2 คน ไปส่ง งานนี้ได้พี่พิพัฒน์ ประธานสภาฯ ลุงช่วง เรืองจันทร์ และน้องสุจิตร แก้วบุญส่ง กรรมการสภาฯ เป็นผู้ประสานงานหลักที่ได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ส่วนด้านการกีฬา ก็น้องดอน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสรรหา ชักชวน โดยไปจับมือกับชมรมเพิ่มพูนพลังอำเภอป่าบอน

     หลังจากน้องดอนเล่าให้ผมฟังแล้ว ต่อไปก็เป็นน้องสุจิตร ขอสายคุยกับผมต่อ น้องเขาเล่าให้ฟังต่อว่า จะมีพี่ ๆ หมออนามัย ตามไปเป็นหมอประจำทีมนักกีฬาให้ด้วย ในวันแข่งขัน ตอนนี้ได้สปอนเซอร์มาบ้างแล้วจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดแม่ขรี และพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ทั้งจาก อบต. เทศบาล สถานีอนามัย และ รพ.ตะโหมด โดยมีหน้าตักเป็นเงินที่สภาสะสมไว้ด้วยหากสปอนเซอร์ให้จนเพียงพอก็จะไม่จ่ายหน้าตักที่มี จะจ่ายอย่างประหยัดที่สุด

     พลังความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณ…หวนกลับคืนมาแล้วจริง ๆ ครับ เป็นการเดินเรื่องทั้งหมดโดยเขาเอง ผมไม่เคยได้เข้าไปช่วยเหลืออะไรเขาเลยในเรื่องนี้ ภาพที่ผมอยากเห็น 2 ปีที่ทุ่มเทลงไป ค่อย ๆ ชัดขึ้นมาก ผมยอมรับว่าฟังเขานิ่ง และน้ำตาเอ่อ ด้วยปิติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อน้องสุจิตรเรียกถามว่ายังถือสายอยู่ไหม ก็ได้แต่ตอบคำเดียวสั้นว่า “ครับ” เพราะพูดไม่ออกครับ มันจุกแน่นในคอ

     และผมเชื่อแล้วที่พี่พรทิภา ได้บอกเล่าความรู้สึกของพี่เขามาให้ผมทราบตามที่ได้บันทึกไว้ ว่าพี่เขารู้สึกอย่างไร ซาบซึ้งแค่ไหน นี่แหละที่ผมเรียกว่าการให้โอกาสแก่คนชายขอบ เพื่อให้เขาลุกขึ้นมาจัดการอะไร ๆ ได้ด้วยตนเอง อย่าได้คิดแต่เพียง “การสังคมสงเคราะห์” จนเขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงลงไปเรื่อย ๆ และหมดสภาพไปในที่สุดทั้ง ๆ ที่เขาไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย

     พลังความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณของเขาเหล่านั้น…หวนกลับคืนมาได้เพราะตัวเขาเองแท้ ๆ ศักยภาพในตัวเขาเองจริง ๆ เพียงแต่เมื่อได้รับโอกาส เขาก็มีพลังร่วมรวมกันเป็นหนึ่งที่แข็งเอามาก ๆ นี่แหละครับที่เขาขอร้องว่าเวลาพูดคุยกันกับเขาไม่ต้องเน้นคำว่า “พิการ” ให้มาก เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเอง “พิการ” อะไรเลย หากใครไม่เชื่อว่าเขารู้สึกอย่างนี้จริง ๆ อยากเชิญให้ได้มา ลปรร.กับเขาสักวันที่มีโอกาสดี ๆ (ยิ้ม ๆ)

หมายเลขบันทึก: 47308เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2006 02:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • สวัสดีครับท่านชายขอบ
  • วันนี้นอนดึกเหมือนกันเลยครับ
  • ยินดีมาก ๆ เลยครับที่ท่านพี่ได้พลังแห่งความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณคืนกลับมาครับ
  • ผมเป็นกำลังใจให้พี่เสมอครับ
  • ขอพลังแห่งความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณจงสถิตกับพี่ชายขอบตลอดไปครับ

 

นอนดึกจังเลยนะคะ...คุณ"พี่ชายขอบ" พักผ่อนรักษาสุขภาพบ้างนะคะ มีเรื่องมาเล่าให้ฟังยามดึกค่ะ

หลายเดือนก่อนระหว่างเดินทางไปทำภาระกิจ...เห็นชายอายุประมาณ 35 ปี สวมแว่นดำ นั่งแบบหยิ่ง ๆ มาก ไม่แม้แต่จะเหลียวมามองเราเลย...ก็นึกสงสัยว่าทำไมเขานิ่งขนาดนั้น ก็นั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ ๆ เขา รถขับมาสักระยะ เขาก็หลับ หัวผงกต่ำลงมาเรื่อย ๆ เราก็มองเขาลอดแว่นเข้าไป ถึงได้รับรู้ว่าดวงตาเขาเสียทั้งสองข้าง ครั้นจะปรับเบาะให้เขาแอนนอนก็ทำไม่ได้เพราะต้องเหวี่ยงมือเอื้อมไปอีกฟาก จึงเรียกพนักงานบนรถให้ช่วยปรับให้ เขารู้สึกตัว พร้อม ๆ กับที่พนักงานรถบอกว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ แกขึ้นรถเดินทางเป็นประจำค่ะ" แต่พนักงานก็ไม่วายที่จะไปจับมือเขาและพาไปจับที่ปรับเอน เขาก็พยักหน้ารับทันที

รถแล่นไปสักพัก ก็แวะจอดที่ปั๊ม...เขาลงไปห้องน้ำโดยไม่บอกใครสักคน ถือไม้เท้าสำหรับคนพิการไปด้วย พอรถจะออก จึงได้ทราบว่าเมียและลูกสาวเขานั่งอยู่ข้าง ๆ ลูกสาวเที่ยวตามหาพ่อ ว่าพ่อหายไปไหนทำไมยังไม่กลับขึ้นรถ แม่ก็ดูเหมือนตาพิการข้างนึง ก็บอกให้ลูกสาวลงไปตาม แต่ไม่ทันจะไปพ่อก็กลับมาซะก่อน และบอกลูกสาวว่าพ่อหลง ไปขึ้นรถอีกคัน แต่ดีที่จำได้ก็เลยกลับลงมาใหม่ เขาบอกว่าที่จริงไม่รู้ไปลงไหนแล้ว

นั่งสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าขณะที่เขาจะดื่มน้ำจากขวด ภรรยาไม่เกาะขวดน้ำให้เขาเลย เขามานั่งเกาะของเขาเองจนออก และดื่มน้ำตามปกติเหมือนคนทั่วไป อ่านบันทึกนี้จึงรู้ว่า "คนพิการ" เขาไม่ต้องการให้ใครสงสารเขาเลย เขาต้องการทำอะไรเหมือนคนปกติทั่วไป และเขาก็ทำได้ดีด้วยสิ เขาไม่เคยคิดที่จะร้องขอให้ใครช่วยเลย แต่สิ่งที่เขาต้องการโอกาส

ดีใจที่บันทึกคุณ "พี่ชายขอบ" จุดประกายให้คนที่ครบ 32 อย่างเรา ได้คิดทบทวนตนอีกครั้งว่า บางครั้งเรายังทำอะไรได้ไม่ดีเท่าเขาเลย...ทั้ง ๆ ที่เรามีโอกาสมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป มีทุกอย่างพร้อมแต่เรากลับนิ่งดูดายและไม่ทำมัน เฉย ๆ กับชีวิต เพราะสบายจนเคยตัว และที่สังเกตอีกอย่างคือ เขาไม่ทะเลาะ ไม่ซ้ำเติมในความผิดของสามีเลย กลับหัวเราะร่วน ทั้งแม่ทั้งลูกสาว ดูเขาแล้วเราพลอยมีความสุขไปด้วยค่ะ

เขียนซะยาว...ทนอ่านหน่อยแล้วกันนะคะ พอดีเรื่องมันมาโดนใจค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ สำหรับการทำกิจกรรมดีๆ มีคุณค่าทางจิตใจ   พี่เองก็ทำมาแล้วหลายๆ โครงการฯ สมัยเมื่อทำงานด้านสื่อมวลชนที่พัทยา เมื่อได้เห็น เมื่อได้สัมผัส คนที่มีโอกาสน้อยในหลายๆ ด้าน ก็พยายามหาวิธีการ ให้คนที่มีโอกาสมากกว่า ได้มีส่วนช่วย ให้คนที่มีโอกาสน้อย ได้มีโอกาส มีจุดเริ่มต้นในการสร้างโอกาสให้ตัวเองได้  ส่วนใหญ่ที่พี่ทำจะเป็นเรื่องเด็กและโอกาสทางการศึกษาค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท