จากกรณีที่เด็กชายอาบู อายุ ๘ ปี ถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้าโรงเรียน ทางคณะนักวิจัยได้มีการพูดคุยถึงเหตุผลกับทางโรงเรียน ทำให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงและเหตุผลในการดำเนินนโยบายรับนักเรียนของโรงเรียน โดยทางโรงเรียนจะมีข้อตกลงร่วมกันกับผู้ปกครอง ดังนี้
(๑) นักเรียนต้องมีบ้านซึ่งปลูกอาศัยเป็นหลักแหล่งอยู่ในชุมชน
(๒) นักเรียนต้องอาศัยอยู่กับครอบครัว คือมีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน
(๓) นักเรียนต้องอยู่ในชุมชนเป็นเวลามากกว่า ๑ ปี (เมื่อก่อน ได้กำหนดไว้ ๓ ปี)
(๔) นักเรียนต้องเรียนให้จบอย่างน้อยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ หากผู้ปกครองไปทำงานที่อื่น ก็ต้องให้เด็กเรียนให้จบก่อน
เหตุที่ต้องมีการกำหนดเช่นนี้ เนื่องจากในประสบการณ์ช่วงที่ผ่านมา โรงเรียนซึ่งอยู่ในเขตชายแดนที่มีคนเชื้อสายไทยที่เป็นญาติพี่น้องกันอาศัยอยู่ใน ๒ เขตแดนรัฐ ได้ประสบปัญหาในเรื่องการออกจากโรงเรียนกลางคันของเด็กนักเรียน โดยเฉพาะเด็กที่พ่อแม่ยังไม่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแน่นอนในชุมชน หรือกรณีที่พ่อแม่ซึ่งอยู่ที่อื่น ส่งลูกมาเรียนในโรงเรียนโดยให้อาศัยอยู่กับญาติ
ทางคณะครูให้เหตุผลว่า ปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของโรงเรียนแห่งนี้ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาของทางโรงเรียน ดังนี้
(๑) การที่มีนักเรียนจากนอกชุมชนจำนวนมากเกินไป ทำให้โรงเรียนรับไม่ไหว มีปัญหาจำนวนครู และอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ไม่เพียงพอ
(๒) การที่นักเรียนที่เข้ามาเรียนมีวุฒิภาวะ หรือพื้นฐานไม่เท่ากัน ซึ่งบางครั้งแตกต่างกันมาก ทำให้ยากต่อการจัดการศึกษาของทางโรงเรียน
เหตุผลเหล่านี้ ทำให้ทางโรงเรียนจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับนักเรียน ดังนั้นกรณีของเด็กชายอาบู จึงถูกปฏิเสธสิทธิในการศึกษาเนื่องจากยังไม่เข้าเงื่อนไขที่ทางโรงเรียนกำหนดว่าต้องอยู่ในชุมชนเกินกว่า ๑ ปี
อ่านประวัติของเด็กชายอาบู ได้ที่...
เออ ผมขออนุญาตนำเคสนี้เข้าสู่งานวิจัยเรื่องการเข้าถึงการศึกษาของเด็กต่างชาติด้วยนะ
เดี๋ยวจะเมล์ไปคุยรายละเอียดกับพี่ต้องนะครับ เพราะยังไม่เจอเคสที่ไม่รับด้วยเหตุผลแบบนี้ครับ
ผมว่าการออกระเบียบของโรงเรียนแบบนี้ขัดกับนโยบายของรัฐการการศึกษาเด็กแน่นอน
พี่ต้องกับตี๋จะลงมากรุงเทพฯอีกทีเมื่อไหร่ อยากนัดคุยเลี้ยงกาแฟด้วย มีเรื่องอยากปรึกษา เมื่อวานเจอตี๋ก็ลืมคุย งานมันยุ่ง ๆ เครียด ๆ ด้วยครับช่วงนี้
เห็นด้วยว่าการปฏิบัติเช่นนี้ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและขัดต่อระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการแน่นอน
แต่พยายามสื่อสิ่งที่ทางโรงเรียนคิด เท่าที่ได้ไปรับฟังมา ก็เข้าใจว่าเกณฑ์ที่ทางโรงเรียนพยายามตั้งขึ้นก็เป็นการแก้ปัญหาในพื้นที่ที่เขาประสบ และรู้สึกรับไม่ไหว อย่างที่เขาว่า
ส่วนตัวเห็นว่าน่าจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เช่นที่ทางชุมชนได้ประชุมกันและเสนอว่าจะช่วยค่าใช้จ่ายที่ทางโรงเรียนบอกว่างบไม่พอ แต่ล่าสุดเข้าใจว่าตกลงไม่ได้กับทางโรงเรียน ทางชุมชนจึงจะใช้วิธีจ้างคนในชุมชนสอนเด็กๆ แทน ไม่แน่ใจว่าได้เริ่มหรือยัง
ไม่เห็นด้วยที่จะยอมรับว่า โรงเรียนทำถูก
โรงเรียนต้องเอาปัญหาที่มีมาหารือกระทรวง มิใช่ปฏิเสธสิทธิของเด็ก
กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
สิทธิของเด็กศักดิ์สิทธิ์ ต่อรองไม่ได้ค่ะ
อาบูและพี่สาว และเพื่อนๆอาบูอีก 12 คน ยังไม่เรียนภาษาไทยที่ไหนเลย แต่ได้เข้าเรียนภาษายาวีที่มัสยิด
ผมเข้าใจเหตุผลของโรงเรียนแต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแก้ไขปัญหา เพราะการมองแบบนี้เป็นการมองในเชิงการพยายามแก้ไขปัญหาให้แก่โรงเรียนไม่ใช่การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงการศึกษาของเด็ก ปัญหาที่โรงเรียนเจอ ก็คล้ายๆ ที่หลายโรงเรียนเจอ แทนที่โรงเรียนจะผลักภาระไปให้เด็ก โรงเรียนน่าจะนำเรื่องนี้เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบายโดยตรง น่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่า หรือดึงชุมชนเข้ามาร่วมแก้ปัญหาโดยการเตรียมความพร้อมในด้านภาษาไทยให้แก่เด็ก
ตอนนี้ข้อสมมติฐานของผมต่อการจัดการศึกษาให้แก่เด็กต่างชาติมีสามแนวทางครับ
1. ให้เด็กเข้าเรียนในโรงเรียนไทย อันนี้เหมาะกับเด็กที่โตมาในชุมชนไทยและอายุไม่มากนัก 5-8 ปีในเกณฑ์ประมาณนี้ (ไม่ใช่ข้อสรุปนะครับ เป็นข้อสันนิษฐาน)
2. ให้มีการจัดการศึกษาเตรียมความพร้อมด้านภาษาไทยให้แก่เด็กเพื่อจะให้สามารถสามารถเข้าไปเรียนต่อในระบบโรงเรียนได้
3. จัดทำการศึกษาทางเลือกให้แก่เด็กไปเลย (อันสุดท้ายที่เกิดขึ้นเยอะ แต่ก็มีข้อจำกัดพอสมควร)
ในกรณีนี้ผมคิดว่าทางชุมชนก็เห็นปัญหา ทางดรงเรียนก็มีปัญหา ท้ายที่สุดปัญหาทั้งหลายไปตกกับเด็ก ทางโรงเรียนกับชุมชนน่าจะหาทางออกร่วมกัน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เด็กจะได้รับการศึกษาที่เหมาะสมเป็นตัวตั้งนะครับ