การฟังนั้น หลายท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนก็ฟังได้ไม่เห็นว่าจะมีความสำคัญ หรือต้องฝึกแต่อย่างใด แต่ในบทบาทของคุณอำนวยแล้ว ผมว่าการฟังที่คิดว่าธรรมดานั้น "ไม่ธรรมดาครับ" หลายครั้งที่ได้เห็นตนเองในอดีตที่ตอบหรือพูดสวนออกไปโดยที่คู่สนทนายังพูดไม่จบ อย่างนี้ผมคือคนฟังไม่เป็นใช่ไหมครับ แต่นั่นเป็นอดีตครับ ตอนนี้ผมพยายามปรับปรุงตัวเองใหม่แล้ว ผมทำอย่างไร ลองอ่านดูหน่อยนะครับ
ต้องนิ่งฟังให้จบก่อน เน้นคำว่านิ่งฟังอย่างตั้งใจ
ไม่โต้ตอบหรือสวนคำพูดออกไปโดยทันที คิดไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยตอบ ดังที่อาจารย์หมอประเวศ วะสี เล่าทฤษฎีฝรั่งว่าเหมือนตัวยู ถ่วงลงมาก่อน(ให้เวลาคิด)
ฟังแล้วคิดตามไปด้วย จับประเด็นไปด้วยทั้งเนื้อหา อารมรณ์ บริบท ฯลฯ
ลบภาพในใจของเราออกให้หมด เพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียงเข้ามาหาการคิดโดยใช้เหตุที่เราชอบ เป็นตัวสนับสนุนการตัดสินใจให้ไปในทิศทางที่เราต้องการ
หากมีกระดาษ ปากกา ก็ให้จดประเด็นที่สำคัญๆ ไว้จะยิ่งดี
หนึ่งความคิดล้วนมีค่า ดังนั้นเราต้องฟังทุกคนอย่างความเท่าเทียมและเสมอภาค ไม่ยึดติดกับการศึกษา ตำแหน่ง หรือสถานะใดในสังคม ฯลฯ
หากเป็นเรื่องเล่าที่เป็นการระบายความในใจ อย่างนี้ต้องกระตุ้นเพื่อให้เล่าออกมาให้หมด ผู้พูดจะได้สบายใจ
ฯลฯ ช่วยคิดต่อด้วยครับ
การฟังนั้น เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการทางปัญญา หากไม่ฟัง หรือฟังไม่เป็นเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดการคิด การซักถาม หรือการเขียนในขั้นต่อๆ ไปได้ เหมือนกับการปิดประตูไม่เปิดทางไปสู่ทางแห่งปัญญา
"หากใจไม่เปิดการฟังนั้นย่อมไม่ได้ยิน" เสียงที่พูดออกมาก็เหมือนอากาศที่พัดผ่าน และล่องลอยไป
บันทึกมาเพื่อการ ลปรร. ครับ ขอเชิญท่านผู้รู้ช่วยต่อเติมเสริมแต่งให้เกิดความสมบูรณ์ด้วยครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก 30 ส.ค 2549
เป็นบันทึกแสดงขั้นตอนที่ดีจังค่ะ เห็นด้วยมากว่าต้องใช้การฝึกฝน ตัวเองเป็นผู้ฟังที่มีคนชอบมาคุยด้วย เคยแปลกใจว่าทำไมคนบางคน เราอยากฟังเรื่องที่เขาเล่า แต่บางคนเราต้องทนฟัง แต่ตอนนี้เริ่มฉลาดขึ้นแล้วค่ะ รู้ว่าในสถานการณ์ไหนต้องฟังอย่างไร บางครั้งการเบี่ยงเบนหัวข้อก็จะช่วยให้เราได้ฟังเรื่องที่อยากฟัง ได้มากขึ้น (อันนี้รู้สึกจะเป็น "คุณอำนวย" เพื่อตนเองนะคะ)
เคยเป็นแบบที่คุณยุทธเป็นเหมือนกัน ที่ไปตัดบทคนอื่นก่อนที่เขาจะพูดจบ แต่ตอนนี้พยายามฝึกฟังให้จบแล้วคิดมากขึ้น ก่อนจะตอบสนอง เห็นว่าทั้งเราและผู้พูดได้ประโยชน์มากขึ้นนะคะ
รู้สึกว่าบุคลิกของเราก็มีผลต่อการฟังเช่นกันนะคะ การมองผู้พูดอย่างตั้งใจ พยักหน้าเมื่อเห็นด้วย แสดงสีหน้าถึงสิ่งที่เราคิดก็เป็นการคุย แบบ"ไม่มีเสียง"กับผู้พูดได้ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบ "ให้พูดต่อไป" กับ "หยุดได้แล้วมั๊งคะ" ด้วยเหมือนกัน
เรียน พี่โอ๋-อโณ
ขอบพระคุณมากครับที่กรุณาเข้ามาเพิ่มเติมต่อยอดความรู้
เรียน อาจารย์ปภังกร
เรียน คุณบอย สหเวช
สวัสดีค่ะคุณสิงห์ป่าสัก