วิกฤติแห่งวิวัฒนาการ ๒


Collective Unconsciousness คือคนส่วนมากจะไม่รู้จักจิตใต้สำนึกของตัวเอง ถ้าสังคมทั่วไปปฏิเสธความจริงในอดีต แต่เก็บกดเอา สักวันจะระเบิด มีวิธีเดียวที่จะระบายความรู้สึกนั้นให้เบาบางลงได้ คือยอมรับความจริง คนที่ไม่ยอมรับความจริง ยิ่งกดความรู้สึกในจิต เช่นในอดีตเคยทำอะไรแย่มากในชีวิต ในอนาคตเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นโดยระเบิดออกมา

วิกฤติแห่งวิวัฒนาการ ๒
 

วิธีจัดการเก่าแบบ hierarchy ในทุกสถาบันทั่วโลก ไม่ว่าข้าราชการ ศาสนา กองทัพ การเงิน
ที่หัวหน้าตัดสินใจแล้วทุกคนทำตาม กำลังสลายไป สิ่งที่น่าสนใจคือ องค์กรของผู้ก่อการร้าย ไม่จัดการแบบนั้น แต่เป็นแบบ Individual - Node - Network และกำลังขยายเป็นเครือข่ายอย่างเงียบในหลายๆ แห่งทั่วโลก
วิธีสู้กับผู้ก่อการร้ายก็ต้องใช้วิธีเหมือนกัน แต่เป็นไปเพื่อสันติภาพ และถ้าจะแก้ปัญหาทั่วโลก ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน แต่วิธีคิดแบบชาตินิยมจะเป็นอุปสรรค เช่นถ้าทำอย่างนั้นจะเสียเปรียบ ฝ่ายตรงข้ามจะได้รับประโยชน์มากกว่า
สัตเปรม บอกว่า A Crisis of Evolution ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา สังคม แต่เป็นวิกฤตของวิวัฒนาการ มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ทันท่วงทีหรือไม่
สิ่งเหล่านี้กำลังค่อยๆ เกิดขึ้นแล้ว ดังเช่นการเกิดกลุ่มจิตวิวัฒน์ขึ้นมา แสดงว่ามีบางคนเห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แม้ว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นก็ตาม
โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีแบบใหม่กำลังเผยแพร่ขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถติดต่อกับใครที่ไหนก็ได้ในโลก ไม่ต้องขออนุญาตหัวหน้าก่อน เหมือนควอนตัมฟิสิกส์
หนังสือเรื่อง Maverick เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือผู้เขียนเป็นนักธุรกิจที่ได้รับกิจการจากพ่อ กำลังมีหนี้สิน เขาจึงปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารใหม่ และไม่มีใครเชื่อว่า ระบบจัดการแบบนี้จะประสบความสำเร็จได้ เช่น ไม่มีพนักงานต้อนรับ พนักงานจะแต่งตัวแบบไหนก็ได้และเป็นคนกำหนดเงินเดือนตัวเอง จะต้องหยุดพักปีละอย่างน้อย ๑ เดือน ถ้าจะมาสมัครงาน ต้องได้รับการสัมภาษณ์จากทุกคนในแผนก ไม่ใช่จากหัวหน้าเท่านั้น การเลื่อนตำแหน่ง ต้องประชุมร่วมกันทุกคนว่าเหมาะสมหรือไม่
การติดต่อทางอินเตอร์เน็ต เป็นการสื่อสารแบบใหม่ ที่ทุกคนเสมอภาคกัน เรียกว่า Peer To Peer (P2P) หรือคนที่อยู่ในระดับเดียวกันทั่วโลก เช่น คุณเดวิดซื้อหนังสือส่วนใหญ่จาก www.amazon.com ซึ่งไม่มีร้านหนังสือเป็นของตนเอง แต่ถ้าสนใจหนังสือเล่มไหน เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ จะมีรายละเอียดออกมา ทั้งผู้อ่านยังสามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือได้อีกด้วย ซึ่งเป็นความคิดดีมาก ดังนั้น คุณไม่ต้องถามครูว่าต้องอ่านหนังสือนี้ไหม แต่สามารถเข้าไปดูได้ด้วยตนเอง
จะเห็นได้ว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ระบบเก่าที่ไม่ยืดหยุ่น เปลี่ยนยาก เปลี่ยนช้า ยังดำรงอยู่ และสองสิ่งนี้กำลังต่อสู้กัน
วิธีคิดเก่า จะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ เป็นไปได้ไหมที่ทุกฝ่ายชนะ เราบอกว่าต้องการความยุติธรรม หมายถึงคุณต้องแพ้ เมื่อเราประหารชีวิตคุณ เราได้รับความยุติธรรม
คุณเดวิด ได้ยกตัวอย่างประเทศอาฟริกาใต้ ที่ เนลสัน แมนเดลา กับ เดสมอนด์ ตูตู สามารถป้องกันสงครามหลังจากรัฐบาลของคนผิวขาวแพ้การเลือกตั้ง เพราะการแบ่งแยกคนผิวสีออกจากกันเกิดขึ้นมานาน และคนผิวดำถูกทรมานต่างๆ นาๆ หลายคนคิดว่า จะเกิดการล้างแค้น แต่ก็ไม่มี เพราะแมนเดล่าหาวิธีแก้ปัญหาด้วยสันติภาพ โดยจัดตั้ง The Commission of Truth and Reconciliation หรือกรรมการสำหรับความจริงและการไกล่เกลี่ย โดยเปิดโอกาสให้คนสารภาพผิด ไม่ต้องติดคุก จึงเป็นไปได้ที่จะแก้ปัญหาแล้วทั้งสองฝ่ายชนะ
การที่คุณเดวิดชอบเล่าประวัติของตัวเอง เพราะเชื่อว่า จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เช่นเดียวกับผู้เขียนหนังสือ At Hell's Gate ที่เคยเป็นทหาร ติดเหล้ากับยาเสพติด จนเกือบจะตาย สุดท้ายก็สามารถเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ ครั้งที่เป็นทหารในเวียดนาม ผู้เขียนไม่เคยรู้จักคนเวียดนามเลย เพราะอยู่แต่ในค่ายทหาร เมื่อความรู้สึกเก่าเกิดขึ้น เขากลัวคนเวียดนาม มีคนเสนอว่าควรไปปฏิบัติธรรมกับ ติช นัท ฮันห์ ซึ่งเป็นชาวเวียดนาม เขากลัวว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาเคยทำอย่างไรกับคนเวียดนาม ทุกคนจะเกลียดเขาแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไป แล้วไม่ใครเกลียด ปัจจุบันนี้เขาออกเดินไปทั่วโลก เพื่อเผยแพร่สันติภาพ จึงเป็นไปได้ที่คนจะเปลี่ยน เหมือนกับองคุลีมาลในพุทธศาสนา
ในอดีต วิวัฒนาการเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่ก็มีตัวอย่างของมนุษย์ผู้มีสติ รู้ตัวเอง และสามารถเปลี่ยนตัวเองได้เช่นกัน เรียกว่า Consciousness Evolution
ณ ปัจจุบัน มนุษย์ได้มาถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
แต่คนส่วนมากยังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เพราะเป็น Collective Unconsciousness คือคนส่วนมากจะไม่รู้จักจิตใต้สำนึกของตัวเอง ถ้าสังคมทั่วไปปฏิเสธความจริงในอดีต แต่เก็บกดเอา สักวันจะระเบิด มีวิธีเดียวที่จะระบายความรู้สึกนั้นให้เบาบางลงได้ คือยอมรับความจริง คนที่ไม่ยอมรับความจริง ยิ่งกดความรู้สึกในจิต เช่นในอดีตเคยทำอะไรแย่มากในชีวิต ในอนาคตเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นโดยระเบิดออกมา
โจเซฟ ชิลตัน เพียร์ซ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการหลายพันปีของสมองมนุษย์ ว่ามีสมองอยู่ ๓ ชั้น สมองเก่าชั้นแรก จำเป็นต้องมี ไม่อย่างนั้นมนุษย์อยู่รอดไม่ได้ และปัจจุบัน มี pre frontal lope ที่ยังไม่แน่ใจว่ามีไว้เพื่ออะไร เพียร์ซคิดว่า คนส่วนมากยังไม่ได้ใช้สมองส่วนนี้ เพราะต้องใช้สมองทุกชั้นเสียก่อน ถึงจะใช้สมองส่วนนี้ได้ แต่ถ้าดูประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ธรรมชาติจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าเสมอ เช่น ฟันกราม ภาษาอังกฤษเรียกว่า wisdom teeth จะไม่ขึ้นจนอายุ ๑๒-๑๓ ปี โดยฟันน้ำนมจะขึ้นก่อน จากนั้นฟันชุดที่สอง แล้วฟันกรามจึงเป็นชุดสุดท้าย เรารู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดขึ้นเวลาไหน แสดงว่าธรรมชาติเตรียมการไว้ล่วงหน้า เป็นไปได้ไหมที่สมองส่วนล่าสุดของมนุษย์นี้ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติเตรียมไว้สำหรับอนาคต แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะใช้ได้
นอกจากนี้ วิธีทำงานของวิวัฒนาการ จะมาจากวิกฤตบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เท่าที่นักวิชาการรู้ สิ่งมีชีวิตแรกอยู่ในน้ำ ต่อเมื่อขึ้นบกในวันหนึ่ง จะหายออกได้อย่างไร จะเดินอย่างไร จึงต้องหาวิธีใหม่ เช่นจระเข้ จะมีเท้าสั้นๆ นี้เป็นตัวอย่างของสถานการณ์บังคับให้สิ่งใหม่เกิดขึ้น
คุณเดวิดรู้สึกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ระบบเก่าจะทำลายตัวเองและสิ่งใหม่จะเกิดขึ้น
แต่ไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน และไม่มีพูดใครพูดได้ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม คุณเดวิดไม่เห็นด้วยกับการต่อต้านระบบเก่า เป็นเรื่องเสียเวลา พลังงานไปโดยใช่เหตุ และจะเป็นการทำลายตัวเอง วิธีต่อต้านระบบเก่าที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือ The best form of resistance is to be creative คือใช้ความคิด ความเชื่อ ความสร้างสรรค์ จินตนาการ ให้กับการสร้างระบบใหม่วิธีใหม่ เหมือนกลุ่มจิตวิวัฒน์กำลังทำอยู่ หรือเหมือนกับคุณวิศิษฐ์ กับคุณหมอวิธาน ทำหลายอย่างที่เชียงราย
มีหนังสือเล่มใหญ่เมื่อประมาณ ๑๐ ปีแล้ว เรื่อง Future of the Body รวบรวมเรื่องของผู้มีอิทธิฤทธิ์ หรือคนที่ทำอะไรได้เหนือธรรมดา เช่น โยคี พระทิเบต นักบุญคริสต์ หรือนักกีฬาที่ทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ในห้องสมุดที่โรมจะมีเรื่องเหล่านี้มาก เพราะนิกายคาธอลิกก่อนที่ประกาศว่าใครเป็นนักบุญ ต้องมีกรรมการตรวจสอบชีวิตของคนนั้น สัมภาษณ์คนที่อยู่กับคนนั้น แล้วรวบรวมไว้ ทำให้มีพยานหลายคน เป็นการวิจัยที่ดีมาก ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้รวมรวบทั้งหมดเป็นเล่มใหญ่ เพื่อแสดงว่า ความเป็นไปได้ในโลก มีมากกว่าที่เราคิดมาก ในอนาคต เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนจำนวนมากกว่าเดิมทำอย่างนั้นได้
สำหรับปัญหาภาคใต้ ในเมื่อนายกเป็นคนอยากมีชื่อเสียง การเสนออะไรถึงผู้นำแบบนั้น ควรจะบอกว่า ประเทศไทยมีโอกาสทองที่จะแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าเราแก้ปัญหาโดยสันติภาพได้ และจะเป็นตัวอย่างสำหรับโลกทั้งหมด
เพราะแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับนายกฯ หลายอย่าง แต่ต้องยอมรับในความขยันขันแข็ง และควรเอาความอยากดังให้เป็นจุดดี ว่านายกมีโอกาสจะได้รางวัลโนเบลสันติภาพ ถ้าแก้ปัญหาด้วยวิธีพุทธศาสนา เช่นเดียวกับที่นายเนลสัน แมนเดลา และ เดสมอนด์ ตูตู ได้รับในกรณีของอาฟริกาใต้
พระพุทธเจ้ากับพระเยซูพูดเหมือนกัน ว่าเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน องค์ทะไลลามะเคยไปพูดกับนักการเมืองออสเตรเลีย ว่าเราทุกคนเกิดจากแม่ของเรา ดังนั้น เราจึงเป็นพี่น้องกัน เป็นวิธีพูดง่ายๆ แต่ดีมาก สิ่งที่อันตรายคือชาตินิยม แม้ชาตินิยมอาจมีด้านดีด้วย ถ้าจะแสดงให้ทั่วโลกเห็นการแก้ปัญหาด้วยวิธีพุทธ แต่ถ้าไปอีกทางหนึ่ง คนจะล้มตายเป็นอันมาก
อย่างไรก็ตาม ในอนาคต วิกฤตของโลกจะถึงจุดที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหา โดยไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัว
ไม่มีใครรู้เกี่ยววิวัฒนาการแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ เพราะเรื่องนี้เป็น self organizing แต่เป็นไปได้ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าคนส่วนมากจะไม่คิดเช่นนี้ แต่มีคนคิดถึงทางเลือก และกำลังมีตัวตน โหนด กับเครือข่าย มากขึ้นเรื่อยๆ
วิธีทำงานของสมอง เมื่อเผชิญกับปัญหาใหญ่มาก ยังเป็นแบบเก่า เรายังยอมรับถึงส่วนรวมทั้งหมดไม่ได้ เป็นปัญหาในเรื่องกายภาพด้วย แต่ในอนาคตสมองอาจเปลี่ยนไปก็ได้ เพราะสมองเปลี่ยนมาแล้วอย่างน้อย ๓ ครั้ง ปัจจุบัน ขนาดของปัญหาที่ใหญ่มาก บังคับให้วิธีคิดของเราออกจากขอบเขตเก่า เพื่อหลุดออกจาก dualism นี้เป็นความท้าทายของปัจจุบัน
ครั้งแรกที่มาทำงานในเมืองไทย คุณเดวิดไม่ชอบการประนีประนอมของคนไทย แต่ชอบการตัดสินแบบขาวหรือดำ เดี๋ยวนี้ คุณเดวิดชอบวิธีคิดแบบนี้มาก และเห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างสำหรับประเทศอื่นๆ เพราะเมืองไทยมีภาพพจน์ที่ดีในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เห็นได้จากโครงการ Dialogue for Peace เลือกมาประชุมที่ประเทศไทย หรือเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน มีการเจรจาสันติภาพในศรีลังกาที่ประเทศไทย เป็นต้น
ดังนั้น ไม่ควรต่อต้านรัฐบาล เพราะจะทำให้รัฐบาลมีศัตรู แต่ต้องหาวิธีสันติ และสนับสนุน เหมือนการพับนก ทำให้เด็กทั่วประเทศคิดถึงสันติสุข เอาความรู้สึกชาตินิยมให้มีประโยชน์ ทำให้คนไทยมีความภูมิใจที่แก้ปัญหาด้วยสันติภาพได้

หมายเหตุ
บทความนี้ วรพงษ์ เวชมาลีนนท์ ได้เคยสัมภาษณ์ไว้ช่วงวันที่ ๒๔ - ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗ แม้เวลาจะผ่านไปสองปี แต่ก็ยังคงความน่าอ่านไว้อยู่มาก ควรที่จะนำมาต่อยอดเรียนรู้กันได้อีก และเนื่องจากบทความค่อนข้างยาว จึงแบ่งไว้เป็นสองตอน

 

คำสำคัญ (Tags): #จิตวิวัฒน์
หมายเลขบันทึก: 47101เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2006 16:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท