สวัสดีครับชาว Blog และลูกศิษย์กลุ่มสำนักพัฒนานวัตกรรม ผมได้มีโอกาสจัดหลักสูตรการเรียนรู้ระยะสั้น 2 วัน โครงการพัฒนาบุคลากรเรื่องเทคนิคในการจัดการความรู้สู่การพัฒนานวัตกรรม ให้แก่คณะบุคลากรของสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (25-26 สิงหาคม 2549) ซึ่งน่าสนใจที่หลังจากได้มีการแลกเป็นความคิดเห็นกันแล้วเห็นว่าที่นี่มีการวางแผนงานดี ๆ ให้กับแวดวงการศึกษาไทยอยู่มากทีเดียว นอกจากนั้นบรรยากาศในการเรียนรู้ก็ยังช่วยให้เกิดพลังความความคิดขึ้นมากมาย หน้าที่ของผมคือเป็นผู้ประสานความคิด และช่วยให้ความคิดต่าง ๆ นั้น มีรูปแบบและทิศทางที่มียุทธศาสตร์ร่วมกัน ผมก็เลยเปิด Blog นี้ให้ทุกท่านที่สนใจเรื่องการศึกษาและนวัตกรรมมาร่วม Share ideas กันที่นี่ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจมากครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
ผอ.สำนักพัฒนานวัตกรรมในการจัดการศึกษา สพฐ.
เช้าวันนี้ ผมค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก Internet รายการแรกที่ผมอ่านในเช้าวันเสาร์ก็คือ บทเรียนจากความจริง ของ ศ.ดร.จีระ จาก เว็บของ น.ส.พ.แนวหน้า http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97อาจารย์เขียน เกี่ยวกับ บทเรียนจากความจริง เรื่อง 9/11 ผลกระทบต่อโลก ในบทความนี้ ศ.ดร.จีระ เขียน บทเรียนจากความเป็นจริงได้น่าสนใจ ข้อความข้างล่าง แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม ซึ่งมีดังนี้ ครับ
ผลกระทบเกิดที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ ย่อมส่งทั้งผลดีและผลเสีย ต่อปัจเจกบุคคล ชุมชน หน่วยธุรกิจ และรัฐบาล ทั่วทั้งโลก อย่างหลีกหนีไม่พ้น สังคม องค์กรที่ชาญฉลาดจึงเร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ผลกระทบด้านไม่ดี คืออาจจะสร้างปัญหาได้ในระยะยาว อย่าเช่น กรณีเหตุการณ์ 9/11 ที่ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินถล่มตึก World trade ในอเมริกา และกระจายผลกระทบด้านลบ ไปทั่วโลก และมีทีท่าว่าจะเกิดสงครามยืดเยื้อ เรียกว่า ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน เมื่อมีความไม่ดียั่งยืน ก็ควรทดแทนด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้รู้จัก หนทางแก้ปัญหา แสวงหาความสงบสุขแบบหาความยั่งยืน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหนทางหนึ่ง แต่ในทางพุทธศาสนา ยังมีอีกหลายแนวความคิด ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งต้องเริ่มที่สถาบันย่อยของสังคม ต้องมีความรู้เรื่องความยั่งยืนเหล่านี้ว่าจะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร
ผมได้รับเกียรติจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ช่วยฝึกภาวะผู้นำของผู้บริหารระดับกลางของโรงแรม Oriental 2 รุ่น ได้สร้างสังคมการเรียนรู้ให้ผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสามารถมากที่โรงแรมชั้นหนึ่งของคนไทย
ประการที่หนึ่ง คือ ตัวนักศึกษา ป.โท ได้ความรู้ประสบการณ์ ในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ประการที่สอง คือ ตัวนักเรียนมัธยมฯ ได้หลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปด้วย
ประการที่สาม คือ เปิดโอกาสให้นักศึกษา ป.โท ได้ทำบุญ ให้วิทยาทาน แก่ผู้อื่น เป็นการทำบุญไปในตัวด้วย
ขอชื่นชมนักศึกษา ป.โท ที่ลาดกระบัง ที่ไปร่วมกิจกรรมนี้ ทำได้ดี ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม และได้ความรู้ไปด้วย ควรจดจำไว้บูรณาการสานต่อความดีนี้ และชื่นชมทีมงานของ ศ.ดร.จีระ ที่ผมสั้งเกตเห็นว่ามีความตั้งใจทำงานได้ดีมาก ถ้าพวกเขามีบุญพอ คือสนใจ ใส่ใจ เอาใจใส่ในแนวคิดของ ศ.ดร.จีระ อย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยปรารถนาอย่างแรงกล้า จะเป็นบุคลากรที่สำคัญของประเทศในอนาคตได้อีกด้วย
ทุกคนคงจำเหตุการณ์ 9/11 ได้ดี ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ลืมเหตุการณ์นี้แน่นอน เวลาผ่านไปแล้ว 5 ปี แม้ไม่ลืมก็ควรจะต้องใช้โอกาสนี้วิเคราะห์สถานการณ์นี้ไปด้วย หากเราเป็นสังคมการเรียนรู้ คิดเป็น วิเคราะห์เป็น จะเห็นว่าเหตุการณ์ 9/11 ไม่ใช่ธรรมดา และไม่ได้กระทบเฉพาะสหรัฐอเมริกา แต่กระทบทั่วโลก อาจจะกระทบในทางที่สร้างปัญหาระยะยาว หรือเป็นความยั่งยืนของโลก
ช่วงนี้ ผมจะไม่ค่อยเขียนเรื่องเกี่ยวกับโลก ยิ่งมีวิกฤติการเมืองไทย เรื่องที่คนไทยไม่ใฝ่รู้ เขียนเรื่องระดับโลก คนไม่สนใจ แต่วันนี้ไม่เขียนถึงคงไม่ได้
ข้อแรกคือ ปฏิกิริยาของโลกต่อสหรัฐอเมริกา ในระยะสัปดาห์แรก 3 เดือนแรก 6 เดือนแรกหลังเหตุการณ์ 9/11 เต็มไปด้วยความเห็นใจและเข้าใจ มีความรู้สึกว่าสหรัฐอเมริกาถูกกระทำ แต่สหรัฐอเมริกากลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการลูบคมในบ้านของตัวเอง มองลักษณะการต่อสู้เป็นการแก้แค้นผู้กระทำ ประกอบกับความเป็นชาตินิยมสูง ทำให้ประธานาธิบดี Bush ได้รับคะแนนนิยมท่วมท้น จึงใช้คะแนนสนับสนุนจากกลุ่มเน้นการเมืองแบบขวาจัด ด้วยการจัดการกับอัฟกานิสถาน และอิรัก รวมทั้งมองโลกในลักษณะแบ่งฝ่าย
เวลาผ่านไปแล้ว 5 ปี ความสงสาร ความเห็นใจ ต่อสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันมีน้อยลง ประเทศที่เคยช่วยเหลือสหรัฐอย่างเต็มที่ลดการสนับสนุน เหลือประเทศหลักคืออังกฤษเท่านั้น ประเทศในยุโรปอื่น ๆ เช่น เยอรมนี หรือฝรั่งเศส เริ่มมองสหรัฐอเมริกาแบบไม่ค่อยพอใจนัก เพราะสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายล้างแค้น เพื่อเอาใจฝ่ายขวาจัดในประเทศของตัวเองมากกว่า
การล้างแค้นดังกล่าวได้ลุกลามไปถึงอัฟกานิสถาน ขยายวงไปยังอิรักและอาจจะไปถึงอิหร่านด้วย และดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาจะใช้นโยบาย ZERO SUM GAME คือ มีผู้ชนะและผู้แพ้ ไม่ใช้นโยบาย WIN/WIN หรือสมานฉันท์ ซึ่งวิธีการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ ต้องใช้การทูต การประนีประนอมมากขึ้น ซึ่ง Bush ไม่เลือกวิธีการสมานฉันท์ แต่เน้นการต่อสู้แบบรุนแรง
ความรุนแรง (Violence) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสู้รบในวันนี้ ไม่รู้จะจบลงเมื่อไร ดูอิรัก ปัญหาของอัฟกานิสถาน ที่ปะทุขึ้นมาตลอดเวลา ไม่มีท่าทีว่าจะจบลงอย่างสันติ
การเป็นประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน จะเก่งด้านการทหารอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องอดทน อดกลั้น มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้สมาชิกของโลกยอมรับ
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา ดูจะขาด 3 เรื่องใหญ่คือ
- ขาดความน่าเชื่อถือ (Trust) จากสมาชิกของโลก
- ขาดคุณธรรม จริยธรรม ที่สังคมโลกปรารถนา
- ขาดการมองที่โยงไปสู่ความยั่งยืน (Sustainability)
ประเด็นสุดท้ายซึ่งผมจะเน้นเป็นพิเศษ คือ การที่สหรัฐอเมริกาต้องดูแลเรื่องการก่อการร้าย และสงครามในหลายประเทศ จึงไม่มีเวลา ไม่มีทรัพยากร ไม่มีปัญญาที่จะแก้ปัญหาของโลก ซึ่งมีหลายเรื่องที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ต้องการความสามารถของผู้นำแบบสหรัฐอเมริกา ที่จะแก้ปัญหาของโลกได้ เช่น
- ปัญหาโลกร้อน
- ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำของประชากรโลก
- ปัญหาประชากรสูงอายุจำนวนมาก และปัญหาแรงงานอพยพ
- ปัญหาการสร้างสังคมการเรียนรู้ของโลก
- ปัญหาการขาดแคลนพลังงานของโลก
- อื่น ๆ
ผมจึงขอสรุปว่า เหตุการณ์ 9/11 สร้างความวุ่นวายให้แก่โลกในระยะยาว เพราะสหรัฐอเมริกาไม่สามารถตั้งสติ ใช้ปัญญาหรือความสามารถต่าง ๆ แก้ปัญหาหลายเรื่องของโลกได้
ดูเหมือนว่าผู้นำของสหรัฐอเมริกาจะมองปัญหาของตัวเองมากกว่าปัญหาของโลก จึงขอสรุปแนวคิดของผมให้ผู้อ่านได้นำไปคิดต่อไป ฉะนั้น ปัจจุบันคนไทยต้องศึกษาปัญหาของโลกมากขึ้น และมีความเข้าใจมากขึ้น เพราะโลกจะพึ่งพามหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ประเทศเดียวที่จะแก้ปัญหาคงไม่ได้ ประเทศหลาย ๆ ประเทศรวมทั้งไทยต้องมีบทบาทเพิ่มขึ้น
หันมาดูงานของผมในสัปดาห์ที่แล้ว
ผมได้รับเกียรติจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ช่วยฝึกภาวะผู้นำของผู้บริหารระดับกลางของโรงแรม Oriental 2 รุ่น ได้สร้างสังคมการเรียนรู้ให้ผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสามารถมากที่โรงแรมชั้นหนึ่งของคนไทย
ได้มีโอกาสไปทำ workshop ให้แก่กลุ่มปริญญาเอกกว่า 50 คน ด้านวัฒนธรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผมได้แสดงความเห็นเรื่องนวัตกรรมกับวัฒนธรรม ให้เห็นว่าทุนทางวัฒนธรรม Cultural capital จำเป็นที่จะต้องสร้างมูลค่า เพื่อให้โลกสนใจ ให้คุณค่า และในอนาคตจะเป็นการหารายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล
ปัจจุบันในยุคโลกาภิวัตน์ สิ่งที่อยู่กับเราและติดตัวเราคือ อดีตที่เราสะสมมานาน ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร วรรณกรรม ศาสนา องค์ความรู้ แต่จะหวงแหนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างนวัตกรรมขึ้นมา นักเรียนปริญญาเอกหลายคน ต่างมีความเห็นว่า วัฒนธรรมพื้นบ้านหลายอย่างในภาคอีสาน รวมทั้งการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นจุดที่น่าสนใจ น่าจะนำมาต่อยอดต่อไป
นอกจากนี้ ผมได้พัฒนาผู้นำของข้าราชการระดับ C8 กระทรวงวัฒนธรรม อีก 120 ท่าน ซึ่งเรียนกับผมรุ่นละ 60 ชั่วโมงจบไปแล้ว สัปดาห์นี้จะไปต่อยอดกัน ดูงานนิทรรศการวัฒนธรรมของไทยที่ฝรั่งเศสและอิตาลี ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้ชาวต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัฒนธรรมไทยในสังคมโลกต่อไป
จีระ หงส์ลดารมภ์
ขอต้อนรับ : พลเอกสุรยุทธ์[1]
ท่านที่ติดตามบทความของผมมาตลอด 7-8 ปี คงจะเห็นแล้วว่าแต่ละสัปดาห์ มีอะไรเกิดขึ้น และตัวเราวิเคราะห์ให้เป็น เราจะเป็นสังคมการเรียนรู้อย่างแท้จริง กระหายความรู้ นำเอาความรู้ไปใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24
หลายฝ่ายอาจจะไม่เข้าใจประวัติความเป็นมาของท่าน ผมขอเรียนว่า ท่านเป็นทหารมืออาชีพ และเป็นทหารประชาธิปไตย ซี่งดีกว่านักประชาธิปไตยแต่ในรูปแบบ วันนี้ประเทศไทยทำงานแบบ Back to basics ที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือ ความถูกต้องและความพอดี หรือหากจะเรียกว่าเป็นความพอเพียงทางการเมือง สังคมและวิถีชีวิตคนไทยคือเดินสายกลาง ไม่หลุดโลกไปทางใดทางหนึ่ง
มี 2 ประเด็นที่น่าจะเขียนถึงท่านนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 คือ
ท่านเป็นคนสมถะ ประหยัดและดำรงชีวิตแบบพอเพียงมาตลอด อุปนิสัยจะช่วยให้บทบาทของท่านนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นตัวอย่างที่ดี " Role Model " ของคนไทยคือ หลังจากรับตำแหน่ง ท่านได้ไปกราบสมเด็จพระสังฆราช และไปพบผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพนับถือ คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
หนังสือพิมพ์ The Nation เขียนว่า ช่วงที่นายกฯทักษิณชนะการเลือกตั้ง ท่านไป ช็อปปิ้งที่ เอ็มโพเรียม และดื่มกาแฟที่ Starbucks เป็นการเปรียบเทียบวิถีชีวิตของท่านทั้งสองได้ดี
อีกเรื่องหนึ่ง ภาพของนายกฯ สุรยุทธ์ จะนำไปสู่ภาพของความพอเพียง และเป็นภาพที่สร้างความจริงของสังคมไทย คือจะเจริญทางด้านวัตถุไม่พอ ต้องมี
Heritage รากเหง้า
Head คิดเป็น
Heart มีคุณธรรม
Happiness มีความสุข ความสมดุลในชีวิต
ในช่วง 1 ปีนี้ที่สำคัญคือ รูปแบบผู้นำของท่าน จะทำให้นิสัยของคนไทย ที่ฟุ้งเฟ้อ ลดน้อยลง สิ่งไม่ดีต่างๆ เช่น ความอยากได้ทุกอย่างเร็วๆ นิยมตะวันตก นิยมวัตถุ การไม่เคารพรากเหง้าหรือประวัติศาสตร์ของตัวเอง มองมนุษย์โดยไม่เน้นการเคารพ ( Respect ) และความมีศักดิ์ศรี ( Dignity ) อาจจะดีขึ้นบ้าง โดยเฉพาะหากท่านนายกฯ คนใหม่เน้นเรื่องสังคมเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นวิถีชีวิตของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรมและมองสังคมแบบยั่งยืนเป็นหลัก
ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะยุคคุณทักษิณ ไม่ใช่แค่ระบอบทักษิณ แต่เป็นวัฒนธรรมการคิดแบบคุณทักษิณที่เน้นเงินและอำนาจ แบบทุนนิยมที่ไร้ขอบเขต ไร้จิตวิญญาณเป็นหลัก ซึ่งในที่สุดแล้ว ไม่เหมาะกับสังคมไทยในระยะยาว จึงต้อง back to basics หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารผ่านไป 2 สัปดาห์กว่า สิ่งหนึ่งที่ผมได้เขียนไปแล้วช่วงแรกคือ การสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลก เพราะโลกาภิวัตน์ มีหลายเรื่องที่กระทบเรา เช่น
- Information Technology เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ เช่น Nanotechnology , Biotechnology
- เรื่องการค้าเสรี , WTO , FTA
- เรื่องการเงินเสรี อัตราแลกเปลี่ยน
- บทบาทของจีน อินเดีย และลาตินอเมริกา
- เรื่องอิทธิพลของประชาธิปไตย และ human right
- เรื่อง Global warming , ภัยธรรมชาติ
- เรื่องสงคราม และการก่อการร้าย
- เรื่องน้ำมันหมดโลก และพลังงานทดแทน
- เรื่อง Bird Flu หรือไข้หวัดนก
เรื่องใหญ่คือ เรื่องมาตรฐานประชาธิปไตยกับสิทธิมนุษยชนของตะวันตก
จริงอยู่ การศึกษากำหนดมาตรฐานต่างๆ ต้องเน้นทฤษฎี 2 R's ของผมซี่งเน้นว่า จะวิเคราะห์อะไรต้องประกอบด้วย :
Reality ความจริง
Relevance ตรงประเด็น
ประชาธิปไตยภายใต้ระบอบทักษิณเป็นเรื่องไม่ปกติ หากปกติคงจะไม่มีการขัดแย้ง ไม่มีคดียุบพรรค ไม่มีคดีฉ้อราษฎร์บังหลวง ความแตกแยกในสังคมไทย ขาดคุณธรรม จริยธรรม
ดังนั้น คนไทยจะต้องอธิบายว่า ปฏิวัติเกิดขึ้นเพราะอะไร ความจริงคืออะไร และแสดงให้เห็นว่า มาแก้ไขเพื่อไปประชาธิปไตยที่ดีในอนาคต ไม่ใช่เห็นรถถังก็กลัว คล้ายว่าถอยหลัง 1 ก้าว เพื่อไปข้างหน้า 2 ก้าวอย่างมั่นคงและยั่งยืน
การอธิบายต่อสังคมโลกเป็นสิ่งสำคัญ อย่าให้มาตรฐานของตะวันตกเป็นมาตรฐานโลกมากำหนดตัวเราเท่านั้น สหรัฐอเมริกายังไม่เห็นพูดถึงประชาธิปไตยในปากีสถาน บางครั้งอเมริกาก็มี Double Standard ด้วย จึงขอเรียนว่า อย่าตกใจไปกับข่าวทางลบของต่างประเทศมากเกินไป ผมคิดว่าอธิบายได้ ผมเป็นคนหนึ่งที่อธิบายให้เพื่อนต่างประเทศทุกวัน
หวังว่าข่าวรัฐประหารจะค่อยๆ จางไป แต่จะขอฝากท่านนายกฯ คนใหม่คือ เรื่องปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปให้คนไทยคิดเป็น เป็นสังคมการเรียนรู้ อยากรู้ อยากมีทุนทางปัญญา ไม่ใช่เห็นแก่ใบปริญญาเท่านั้น โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ ประชากรส่วนมาก รอให้รัฐบาลช่วยเหลือ จะทำอย่างไรให้เขาพึ่งตัวเองได้มากขึ้น เพราะงานของรัฐบาลชั่วคราวที่สำคัญ ต้องปรับอุปนิสัยแบมือขอ ที่รัฐบาลไทยรักไทยทำอย่างต่อเนื่องมา 6 ปีเต็ม อบต.หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ จะมองการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชาวชนบทอย่างไร การจะให้อะไรแบบประชานิยม ก็ต้องแน่ใจว่าระยะยาวอยู่รอดและเข้มแข็งขึ้น
หนังสือพิมพ์ Herald Tribune เขียนว่าการทำให้ชาวบ้านพอใจนั้น พรรคไทยรักไทยเก่งมาก เขาเน้นการตลาด การคิดนอกกรอบ การมีนวัตกรรมทางนโยบาย การใช้พลังทุกอย่าง ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่จะต้องมีความเข้าใจ และปรับนโยบายระยะยาว ต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ด้วย
ขอจบด้วยการเล่าถึงโครงการต่อเนื่องที่ผมทำอยู่ 2 โครงการคือ
โครงการ Learning Forum ที่ Ho Chi Minh ที่ได้จัดไปเมื่อวันศุกร์ที่ 29 กันยายน ซึ่งได้เห็นว่า เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีคุณค่าต่อผู้นำทางภาคเกษตรของเวียดนามมาก เขาศึกษาอย่างละเอียด และมีบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนความคิดที่น่าสนใจ ยิ่งกว่านั้น เวียดนามจะขอมาดูงานที่ประเทศไทยด้วย ต้องถือโอกาสขอบคุณท่านกงสุลใหญ่ คุณสมปอง สงวนบรรพ์ และเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุล คุณปาริฉัตร ลื้อไพบูลย์พันธ์ คุณพิมพ์พิรี ไพรามาน การทูตภาคประชาชนต้องมีรัฐบาลมาเป็นแนวร่วมด้วย
กงสุลใหญ่ ท่านเป็นคนใฝ่รู้ ให้ความสำคัญกับกิจกรรมของมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศมาก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานกงสุลมานั่งฟังตลอด ได้เห็นวิธีการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม
ผมได้กลับไปที่โรงเรียนบ้านแพง จังหวัดมหาสารคาม เป็นครั้งที่ 3 ในช่วง 3 ปี กลับไปสร้างสังคมการเรียนรู้กับเด็กนักเรียนกว่า 400 คน ผอ.วาสนา เลื่อมเงิน เป็นลูกศิษย์ผม และเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่ทำงานนอกกรอบ สนใจการสร้างแนวร่วม Network ลูกศิษย์ก็กระตือรือร้น เช่น กลุ่มมัธยมศึกษา บอกว่า จะให้ผมและมูลนิธิฯ ช่วยสนับสนุนให้มาดูอุทยานวิทยาศาสตร์ในจังหวัดปทุมธานี การศึกษาในอนาคตไม่สามารถจะใช้แบบการบริหารในกล่อง รอให้รัฐบาลมาช่วย ต้องกระโดดออกนอกกล่อง พึ่งตัวเอง และให้นักเรียนเป็นผู้ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ผู้อำนวยการโรงเรียนวิ่งหาตำแหน่ง เพื่อจะได้ C8 ตลอดเวลา
จีระ หงส์ลดารมภ์
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ/สมาชิกสมาคมรองผู้อำนวยการสถานศึกษาฯ และท่านผู้อ่านทุกท่าน
เช้านี้ วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ผมหาความรู้ ทาง internet และค้นหาอ่านบทความ “บทเรียนจากความจริง กับ ศ.ดร.จีระ” ซึ่งสัปดาห์นี้อาจารย์ใช้ชื่อเรื่องว่า ขอต้อนรับ : พลเอกสุรยุทธ์[1]ในบทความนี้ ศ.ดร. จีระ เขียน ถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ และท่านได้เล่าเรื่องสำคัญที่ท่านได้ทำประโยชน์แก่สังคมไว้อย่างน่าสนใจเช่นกัน ผมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยใช้ข้อความข้างล่างนี้ แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม ซึ่งมีดังนี้ ครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เขียนไปแล้วช่วงแรกคือ การสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลก เพราะโลกาภิวัตน์ มีหลายเรื่องที่กระทบเรา เช่น
- Information Technology เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ เช่น Nanotechnology , Biotechnology
- เรื่องการค้าเสรี , WTO , FTA
- เรื่องการเงินเสรี อัตราแลกเปลี่ยน
- บทบาทของจีน อินเดีย และลาตินอเมริกา
- เรื่องอิทธิพลของประชาธิปไตย และ human right
- เรื่อง Global warming , ภัยธรรมชาติ
- เรื่องสงคราม และการก่อการร้าย
- เรื่องน้ำมันหมดโลก และพลังงานทดแทน
- เรื่อง Bird Flu หรือไข้หวัดนก
เรื่องใหญ่คือ เรื่องมาตรฐานประชาธิปไตยกับสิทธิมนุษยชนของตะวันตก
จุดเด่นของพรรคไทยรักไทย คือทำให้ชาวบ้านพอใจโดยใช้ระบอบประชานิยม ในการบริหารนโยบายสาธารณะ มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี ดีคือสามารถสนองความต้องการของลูกค้า(ประชาชนได้) รัฐฯควรมองประชาชนเป็นลูกค้า และสนองความต้องการของลูกค้าได้ One stop service ในหน่วยงานราชการหลายแห่ง เกิดขึ้นในยุครัฐบาลของท่านทักษิณ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี รัฐบาลอิเล็คโทรนิค ก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามจุดอ่อนคือขาดการวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาวในนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมือง ยังขาดหลักการแห่งความยั่งยืน รัฐบาลยุคท่านทักษิณ เป็นครูที่ดี แก่ผู้นำและสัจจะธรรมชีวิต ทุกอย่างในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ เมื่อมีมา ย่อม มีไป เมื่อมีเกิด ย่อมมีแก่ มีเจ็บและตาย
ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน
ยม
นักศึกษา ปริญญาเอก
รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ผมมีกิจกรรม สัมมนา ภาวะผู้นำโลก(Seminar on Global Leadership) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน ในหลักสูตร ป.เอก ผมออกเดินทางแต่เช้า เพื่อจะไปร่วม สภากาแฟก่อนมีการสัมมนา จึงส่งข้อควานี้มาช้ากว่าปกติที่เคยทำ หลังจากเขียนเสร็จแล้ว รู้สึกว่า บรรยากาศรอบตัวมีผลต่อการเขียนมาก ไม่ค่อยมีสมาธิเหมือนเขียนเงียบ ๆ ในมุมธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ผมอ่านบทความ “บทเรียนจากความจริง กับ ศ.ดร.จีระ” จาก Interent ซึ่งสัปดาห์นี้อาจารย์ใช้ชื่อเรื่องว่า ควรรับฟังข้อคิดเห็นอดีตนายกฯชวน ผมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยใช้ข้อความข้างล่างนี้ แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม ซึ่งมีดังนี้ ครับ
ในอดีต การสรรหา คัดเลือกผู้นำ CEO ในองค์กร มักจะแสวงหาผู้นำที่มีความสามารถในการทำงาน ถือว่าเก่ง ครับ แต่ในยุคปัจจุบันและอนาคตแนวคิดนั้นได้เปลี่ยนมาแสวงหาผู้นำที่มีความสามารถในการ Link, Listen and Learn เพื่อต้องการหาผู้นำที่สามารถบริหารการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมคิดว่า ความคิดและข้อเสนอแนะของอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัยที่ติงการทำงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ น่าสนใจ คือจะต้องอธิบายจุดอันตรายของ "ระบบทักษิณ" ให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะใน 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนที่ยากจนอาจจะคิดไม่ครบถ้วน และไม่เข้าใจ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นจะต้องทำ ควรอธิบายด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง อาจจะต้องดึงเอาภาคประชาสังคมที่เป็นกลาง มาช่วยอธิบายเพื่อเสริมรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้ทั่วถึง ระยะนี้ ยังมีข่าวความไม่สงบหรือคลื่นใต้น้ำอยู่ ซึ่งคงจะไม่ใช่ของแปลกอะไร เพราะมีผู้เสียผลประโยชน์มาก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะต้องบริหารและจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างรอบคอบ เหมาะสมและสมานฉันท์
ดูเหมือนว่า นายกฯสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำหน้าที่เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ได้เชิญหัวหน้าพรรคการเมืองมามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ การยกย่องให้เกียรติทุกกลุ่มในสังคมเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสม
ส่วนกลุ่มพันธมิตรก็เช่นกัน คงจะต้องอดทนและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเหมือนเดิม ขออย่าท้อใจ ถึงกับจะลาออกจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งไม่เป็นผลดี คงจะต้องช่วยกันตรวจสอบต่อไป
Can we fix! Broken Government?
Can we fix! The national disunity?
เป็นสิ่งที่คนไทยจะต้องสมานฉันท์ ร่วมมือกัน ผมเชื่อว่า ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านของเรา ย่อมแก้ไขได้ด้วยคนในบ้านของเราเช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดเราหนีไม่พ้นที่จะต้องแข่งขันกับโลก การศึกษาสำคัญที่สุดควรจะต้องรีบเร่งแก้ไขปรับปรุง
การลงทุนภาคเอกชน ชะลอการลงทุนเกือบถึงขั้นหยุดชะงักมาหลายปี(Reluctance) แนวโน้มจะมีมากขึ้นหรือน้อยลง ผมไม่แน่ใจ
ประชาชนทุกส่วน ควรเพิ่มและส่งเสริมความสมานทฉันท์ ช่วยเหลือกันและกัน เพื่อชาติจริง ๆ ร่วมมือกันช่วยรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้สำเร็จ ยุติความขัดแย้ง หันมาแก้ปัญหาประชาธิปไตยด้วยความสงบสุข เคารพในศักดิ์ศรี ในศักยภาพของคนทุกคน ต้องเชื่อว่าคนทุกคนมีคุณค่าทั้งสิ้น ไม่มองใครต่ำ ใครสูง
อีกงานหนึ่งเป็นงาน India-Thai Business Forum ซึ่งเป็นชมรมนักธุรกิจชั้นนำของอินเดียในประเทศไทย ผมภูมิใจที่เขาสนใจงาน HRD ของ APEC ของผม แต่แทนที่จะมองเฉพาะ APEC เขามองถึงความร่วมมือระหว่างอินเดียกับ APEC ในอนาคต
ผมคิดว่าเรื่อง HRD กับอินเดียน่าจะมี 3 เรื่อง
1. การแลกเปลี่ยนครูทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ IT โดยให้อินเดียส่งครูมาช่วย
2. การส่งครูไทยไปสอนเรื่อง การบริการ Service sector และการท่องเที่ยว
3. จัดให้เกิดธุรกิจร่วมกัน เช่น E-learning
ผมคิดว่า การปฏิรูปการเรียนการสอน การศึกษาของบ้านเรา น่าจะนำแนวคิด แนวปฏิบัติ ของ ศ.ดร.จีระ มาเป็นส่วนหนึ่งใน
ในการพัฒนาระบบการศึกษา
ผมสังเกตเห็นว่า อาจารย์ทำแล้วได้ผล อาจารย์สามารถขุดความสามารถของนักเรียน นักศึกษาได้ อาจารย์ทำให้นักเรียน นักศึกษาจำนวนมาก (ในเวลาที่จำกัด) ที่ไม่ค่อยพูดซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง ได้มีโอกาสได้แสดงความเก่งขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง ให้นักเรียน นักศึกษาได้แชร์ความรู้ ได้ปะทะกันทางปัญญา เหมือนพระสนทนาธรรม เหมือนจอมยุทธ์ได้ปะลองฝีมือ ปัญญาย่อมเกิด ฝีมือย่อมพัฒนาขึ้นได้แน่นอน
ควรรับฟังข้อคิดเห็นอดีตนายกฯชวน[1]
เวลาผ่านไปแล้ว 5 สัปดาห์ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและคาดไม่ถึง หลายอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีปัจจัยหรือมีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มเติมเสมอ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ต้องใช้นโยบาย
Listen and Learn อย่างมาก และต้องมีความอดกลั้น ที่จะต้องรับฟัง หากมีประโยชน์จึงนำไปปฏิบัติ
ผมคิดว่า ความคิดและข้อเสนอแนะของอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัยที่ติงการทำงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ น่าสนใจ คือจะต้องอธิบายจุดอันตรายของ "ระบบทักษิณ" ให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะใน 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนที่ยากจนอาจจะคิดไม่ครบถ้วน และไม่เข้าใจ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นจะต้องทำ ควรอธิบายด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง อาจจะต้องดึงเอาภาคประชาสังคมที่เป็นกลาง มาช่วยอธิบายเพื่อเสริมรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้ทั่วถึง
ผมหวังว่า งานดังกล่าวจะก้าวไปด้วยดี และสร้างความเข้าใจได้ถูกต้อง
ระยะนี้ ยังมีข่าวความไม่สงบหรือคลื่นใต้น้ำอยู่ ซึ่งคงจะไม่ใช่ของแปลกอะไร เพราะมีผู้เสียผลประโยชน์มาก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะต้องบริหารและจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างรอบคอบ เหมาะสมและสมานฉันท์
ดูเหมือนว่า นายกฯสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำหน้าที่เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ได้เชิญหัวหน้าพรรคการเมืองมามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ การยกย่องให้เกียรติทุกกลุ่มในสังคมเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสม
ส่วนกลุ่มพันธมิตรก็เช่นกัน คงจะต้องอดทนและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเหมือนเดิม ขออย่าท้อใจ ถึงกับจะลาออกจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งไม่เป็นผลดี คงจะต้องช่วยกันตรวจสอบต่อไป
สำหรับผม ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะทำหน้าที่ต่อไปในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของการให้ความรู้ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระยะนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะใช้สื่อทางวิทยุมากขึ้น เพราะสื่อทางโทรทัศน์ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
ในขณะที่สื่อวิทยุ เช่น FM 96.5 MHz. ทั้ง 24 ชั่วโมง มีความคิดดี ๆ ออกมาจากผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ทันเหตุการณ์ ผมยังต้องติดตามใกล้ชิด
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีงาน 3 เรื่องที่จะเล่าให้ฟัง
เรื่องแรก ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี คือ ค่ายผู้นำเยาวชน Knowledge camping ให้แก่นักเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนในเครือทั้ง 7 โรงเรียน จำนวน 120 คน ครั้งนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว ในปีนี้เน้นในพระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น ภาวะผู้นำ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น มีวิทยากรรับเชิญซึ่งเป็นนักเรียนเก่าที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาร่วมแบ่งปันความรู้ เช่น
- หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เป็นองค์ประธานในพิธีและปาฐกถาพิเศษเรื่อง "โครงการหลวง"
- ฯพณฯ พล.อ.ต.กำธน สินธวานนท์ บรรยายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพด้านพลังงาน"
- ดร.ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ บรรยายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพด้านศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรีและกีฬา"
- ศ.ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน บรรยายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ"
ค่าย Knowledge camping นี้เป็นค่ายที่สร้างและพัฒนาภาวะผู้นำให้กับนักเรียน ให้เด็กมีความคิดกว้างไกล คิดเป็น กล้าแสดงออก เด็กจะได้รับการพัฒนาความคิดจากโจทย์ "ประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า" ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้นำของชาติในอนาคต
อีกงานหนึ่งเป็นงาน India-Thai Business Forum ซึ่งเป็นชมรมนักธุรกิจชั้นนำของอินเดียในประเทศไทย ผมภูมิใจที่เขาสนใจงาน HRD ของ APEC ของผม แต่แทนที่จะมองเฉพาะ APEC เขามองถึงความร่วมมือระหว่างอินเดียกับ APEC ในอนาคต
ผมคิดว่าเรื่อง HRD กับอินเดียน่าจะมี 3 เรื่อง
1. การแลกเปลี่ยนครูทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ IT โดยให้อินเดียส่งครูมาช่วย
2. การส่งครูไทยไปสอนเรื่อง การบริการ Service sector และการท่องเที่ยว
3. จัดให้เกิดธุรกิจร่วมกัน เช่น E-learning
ผมคิดว่ารัฐบาลของนายกฯสุรยุทธ์ ยังคงสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้ง ACD HRD Center ขึ้น เพื่อให้เอเชีย ซึ่งมีอินเดีย จีน ญึ่ปุ่น ไทย และประเทศในตะวันออกกลางรวย ๆ เช่น โอมาน คูเวต มาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของคนเอเชียด้วยกัน แทนที่จะไปเรียนจากตะวันตก ซึ่งผมได้รับมอบหมายจากรัฐบาลชุดที่แล้วให้ดำเนินการ และได้รับการเห็นชอบในหลักการแล้ว
เอเชียต้องมีฐานความรู้ของตัวเอง ร่วมมือกับตะวันตกได้ โดยไม่ลอกความคิดของตะวันตกอย่างเดียว
นอกจากนี้ ผมได้รับเชิญจากมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ไปบรรยายเรื่อง คิดแบบ CEO ในยุคสมัยใหม่ ผมชอบหัวข้อที่เขาตั้ง เพราะ CEO ต้องคิดเป็นถึงจะสำเร็จ จึงแนะนำวิธีการคิดไป 3 วิธีคือ
- ทฤษฎี 4 L's ของผม
- 5 Disciplines ของ Peter Senge
- และ 6 Thinking hats ของ Edward de Bono
เน้นว่าแต่ละแบบสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้โดยมองจากสถานการณ์ความจริงของแต่ละองค์กร มีจุดที่น่าสนใจคือ ยุคใหม่ CEO ต้องไม่เก่งคิดคนเดียว ต้องให้ผู้ร่วมงานคิดเป็นด้วย
คำถามคือ จะทำอย่างไร ในประเทศไทย เราเสียเปรียบตั้งแต่ระบบการศึกษา เพราะเราไม่มีการกระตุ้นให้นักเรียนสนใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ เราให้นักเรียนลอกความคิดของอาจารย์
ผมโชคดีได้เปลี่ยนแนวการสอนมากว่า 10 ปีแล้ว ไม่ว่าจะสอนที่ไหน จะให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และสรุปร่วมกัน ทุกวันนี้มีคนสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ล่าสุดองค์กรบริหารส่วนตำบล ซึ่งจะนำเศรษฐกิจพอเพียงไปให้เขาคิด เช่นเดียวกับข้าราชการระดับ C7 , C8 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของรองปลัดสุทธิพร จีระพันธุ ซึ่งเป็นผู้สนใจวิธีการเรียนแบบใหม่
จีระ หงส์ลดารมภ์
ปัจจุบันคนไทยบริโภคสื่อแบบคิดไม่เป็น ผมจึงขอฝากประเด็นให้สังคมไทยคิด วิเคราะห์ให้ดี ว่าจะทำอะไรและมีผลเสียหายอะไร กรุณานึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักของเรา และพยายามอดกลั้นต่อเหตุการณ์ให้มากที่สุด
มีข่าวว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้ง น่าจะผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมืองไปได้ จะได้ไม่เผชิญหน้ากัน ส่วนฝ่ายต่อต้านก็ขอให้ทำอะไรภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย อย่ายั่วยุมากเกินไป สำคัญที่สุดคือ ฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจรัฐ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และมีความอดกลั้น
ในอดีต สังคมไทยเป็นสังคมที่ค่อนข้างมีสันติสุข ต้องเก็บความดีเหล่านี้ไว้
ถ้าคนไทยรู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะให้ได้ว่า อะไรคืออะไร คงจะมีโอกาสแก้ปัญหานี้ได้ แต่จะสร้างสังคมให้คิดเป็น วิเคราะห์เป็น ต้องใช้เวลา อย่างน้อยตัวผม ทีมงานจะทำหน้าที่เหล่านี้ต่อไปให้ดีที่สุด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมี 2 งานที่น่าสนใจ ฝากให้ผู้อ่านได้นำไปคิดต่อ
เรื่องแรกคือ กลุ่มนวัตกรรมทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เชิญผมและคณะไปทำ workshop เรื่องนวัตกรรมทางการศึกษา 2 วันในวันศุกร์ที่ 25 และวันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม ศึกษานิเทศก์กว่า 50 คน เข้าร่วมด้วย ได้หารือกันว่า จะจัดระบบการศึกษาเชิงนวัตกรรมให้โรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้พัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศได้อย่างไร
ผู้จัดได้ดูรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระทาง UBC 7 เห็นผมกับอาจารย์ศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ทำงานเรื่องนวัตกรรมร่วมกัน ผมเห็นว่าการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุณาเชิญผมและทีมงานไปร่วมถือว่าเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่ง ที่ท้าทายมาก เพราะหากนำเอานวัตกรรมไปให้โรงเรียนใช้ได้จริงๆ คงจะช่วยเด็กนักเรียนได้มาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นองค์กรใหญ่ จะทำงาน routine แบบเดิมไม่ได้ การศึกษาไทยจะต้องให้เด็กคิดเป็น วิเคราะห์เป็น เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งจะมาเล่าในสัปดาห์หน้า
ส่วนที่ได้ทำไปแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาคือ ผมมีโอกาสได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งจัดหลักสูตร MBA ที่เน้น Innovation เป็นกิจกรรมใหม่ของอาจารย์ศุภชัย หล่อโลหการและอธิการบดี ศ.รังสรรค์ แสงสุข ทำร่วมกัน ผมถือว่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นตลาดวิชาที่น่าสนใจ ปัจจุบันมีนักศึกษาจบระดับปริญญาตรีขึ้นไปเป็นจำนวนมาก กว่า 600,000 คน และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม ผมกับนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง คุณประจวบ ไชยสาส์น ได้คุยกันถึงวิธีการที่จะเปลี่ยนบัณฑิตของรามคำแหงจาก Quantity ไปสู่ Quality
ในวันนั้นผมได้ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงพูดถึง HR หรือทรัพยากรมนุษย์กับการสร้างนวัตกรรม มีนักเรียนปริญญาโทจากหลากหลายอาชีพกว่า 100 คน เข้าฟัง ถึงแม้ว่า ห้องเรียนอาจจะใหญ่เกินไป แต่ในเวลา 4 ชั่วโมง สามารถทำให้นักศึกษากว่า 100 คน สนใจ ตั้งใจ นำเอาความรู้เรื่อง Innovation ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เรื่องแรกคือ คำจำกัดความ
คำว่า "นวัตกรรม" ไม่ใช่แค่ creativity หรือสิ่งประดิษฐ์เท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีทั้งสอง
เพียงแค่มี creativity หรือสิ่งประดิษฐ์ ก็ไม่พอ ต้องมีความรู้ในเรื่องเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์ มีระบบความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วย เมื่อมี 2 สิ่งแล้ว จะต้องมีสิ่งที่สามตามมาคือ มีกลุ่มคนหรือเจ้าภาพหรือเจ้าของ นำไปทำ จะเป็น action plan หรือ project ให้ได้
สุดท้ายคือทำให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งวัดได้จากการมีลูกค้า ประเทศได้ประโยชน์ องค์กรได้ประโยชน์
2 ขั้นตอนดังกล่าว จำเป็นต้องใช้ HR ด้วย เช่นเรื่อง creativity หรือสิ่งประดิษฐ์ จะมีอุปสรรคใหญ่คือเรื่องระบบการศึกษาที่ไม่กระตุ้นให้คนไทยคิดเป็น
เรื่องที่สองคือคนไทยชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ มักกลัวความผิดพลาด จึงไม่กล้าลงมือ
ประเด็นสุดท้าย คือถ้ามี 1 คือ creativity หรือสิ่งประดิษฐ์ และ 2 คือ action plan หรือ project จะต้องทำให้สำเร็จ จึงเป็นที่มาของทฤษฎี 3 C คือ
- C แรกคือ คนไทยไม่ชอบ change หรือการเปลี่ยนแปลง
- C ที่สองคือ คนไทยไม่ชอบทำอะไรโดยมองไปถึงลูกค้า Customer
- C สุดท้ายคือ คนไทยที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำไม่ค่อยฟังลูกน้อง มักจะคิดว่าฉันรู้แล้ว ชอบทำตัวเป็นผู้สั่งการ Command and control ไม่ Listening และ Learning จึงมักจะทำให้โครงการ Innovation ไม่สำเร็จ
ผู้อ่านน่าจะลองไปศึกษาดูแต่ละกรณีที่กระทบตัวเรา ส่วน 3 Q เป็นความคิดของอาจารย์ยม นาคสุข มองแบบกว้าง จึงบอกว่า 3 Q ที่ต้องมีและจำเป็นในเรื่อง HR คือ
- Q ที่หนึ่ง Quality of HR คือต้องมีคนมีคุณภาพในองค์กรก่อน
- Q ที่สอง คือคนเหล่านั้นต้องคิดเป็น Quality of Thinking
และถ้ามี Q ที่ 1 และ Q ที่ 2 จะมี Q ที่สาม คือ Quality of Innovation ได้
เมื่ออ่านแล้วลองไปคิดดูว่า จะนำมาใช้อย่างไรในองค์กรของท่าน แต่ที่แน่นอนคือ Innovation มาแรง จำเป็นและใช้ได้ในระบบของคนไทยแน่นอน แต่ HR จะเป็นตัวกระตุ้นหรือตัวถ่วง ซึ่งถ้าเข้าใจก็เอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นได้
[email protected]
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร 0-2273-0181
[1] http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97