ในทุกปีหลังการออกค่ายของนิสิต องค์การนิสิต จะจัดโครงการ "ลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่าย" เสมอ บางปีอยู่ในห้วงเดือนกรกฎาคม บางปีอยู่ในห้วงเดือนสิงหาคม หรือแม้แต่เดือนกันยายนก็มีเช่นกัน
ลมหายใจปัญญาชนคนชาวค่าย เป็นเวทีที่ให้ชาวค่ายมาพบปะสังสรรค์กัน มีการออกซุ้มแสดงผลงาน มีการแสดงบนเวที มีการเสวนาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการออกค่าย ฯลฯ
และที่สำคัญก็คือการประกวดเรื่องเล่าเร้าพลัง,ภาพถ่ายชาวค่าย ซึ่งจะมีการมอบรางวัลเป็นทุนการศึกษาคืนให้กับชาวค่ายเพื่อไปต่อยอดในพันธกิจและความฝันของพวกเขา
การเขียนเรื่องเล่าเร้าพลัง หรือแม้แต่ภาพถ่ายเร้าพลังนั้น ผมถือเป็นกระบวนการหนึ่งของการจัดการความรู้ของนิสิต เพราะเรื่องที่เล่านั้น ล้วนเกิดจากการถอดบทเรียนจากการปฏิบัติจริงทั้งสิ้น
ผมให้ความสำคัญกับการเขียนเรื่องเล่าเร้าพลังชาวค่ายค่อนข้างมาก เพราะผมเชื่อว่าหากนิสิตสามารถรังสรรค์ออกมาได้ ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ต่อการขัดเกลาความคิดตัวเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการบันทึกประวัติศาสตร์องค์กรตัวเองไปในตัว ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเกิดองค์ความรู้ที่พร้อมใช้เป็นวัตถุดิบในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้...
และถัดจากนี้ไป คือคำนำที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ "เด็กค่าย" (นวัตกรรมความคิดนิสิต มมส"
...
มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า “เด็กค่าย” หรือ “เรื่องเล่าชาวค่าย” ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน เพราะ “ชาวค่าย” ไม่ใช่นักเขียน พวกเขายังคงมีสถานะเป็นเพียง “นิสิต” เป็น “นักกิจกรรม” เป็น “คนหนุ่มสาว” ที่ยังเสาะแสวงหาคุณค่าและความหมายของชีวิตด้วยวิธีการที่ตนเองหลงรัก เพื่อนำไปสู่พลังอันเป็น “ปัญญาปฏิบัติ” ที่เกิดจากการ “ทำจริง”
แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องเล่าเร้าพลังชาวค่ายยังคงมีค่าและความหมายต่อผมอย่างมหาศาล เพราะนี่คือภาพสะท้อนที่ยืนยันได้ว่าคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยังคงแน่นหนักด้วย “จิตสำนึกสาธารณะ” ซึ่งศรัทธาต่อการเรียนรู้ในระบบ “นอกชั้นเรียน” โดยมีชุมชน หมู่บ้าน โรงเรียนเป็นห้องเรียน หรือสถานีการเรียนรู้ที่หลากชีวิต
ระยะหลังผมพยายามอย่างมากกับการกระตุ้นให้นิสิตชาวค่ายได้จัดกิจกรรมแบบบูรณาการ ถึงแม้จะลงแรงในเรื่องการสร้าง,การสอน,การอบรม สัมมนามากแค่ไหน แต่ก็ชี้เป้าให้นิสิตได้เรียนรู้เรื่องราวอันเป็นบริบทของพื้นที่เหล่านั้นด้วยเสมอ ด้วยการชูแนวคิดผ่านวาทกรรมที่นิสิตชาวค่ายคุ้นชินเสมอมาว่า “ไม่มีที่ใดปราศจากการเรียนรู้...ไม่มีที่ใดปราศจากเรื่องเล่า”
ล่าสุด, ผมติดตามเรื่อเล่าชาวค่ายจากนิสิต ผมไม่ได้พูดหนักแน่นว่านี่คือกระบวนการหนึ่งของการจัดการความรู้ (Knowledge Management) หากแต่บอกกับนิสิตในทำนองว่าอยากให้ช่วยกันเขียนเรื่องราวที่เกิดในค่ายให้ได้มากที่สุด เพื่อบันทึกเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และแต่ละเหตุการณ์นั้นนิสิตชาวค่ายขับเคลื่อนหรือคลี่คลายด้วยกระบวนการใด หรือแม้แต่มีความสุข ความเศร้าในเรื่องใดก็ขอให้เขียน หรือเล่าผ่านตัวหนังสือออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะนี่คือกระบวนการของการ “บอกเล่าสู่กันฟัง” ...
ครับ, ในช่วงของการปิดเทอมต้น (ตุลาคม) ปิดเทอมปลาย (มีนาคม) ที่ “มมส” มีองค์กรนิสิตออกค่ายอาสาพัฒนาจำนวนมาก และไม่เคยต่ำกว่า 20 ค่าย และส่วนใหญ่ก็จัดหางบประมาณเองแทบทั้งสิ้น ซึ่งค่ายแต่ละค่ายก็มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันเสมอ ทำให้นิสิตจำนวนไม่น้อย “รักพี่เสียดายน้อง” จำต้องเลือกไปเรียนรู้ “นอกชั้นเรียน” กับค่ายใดค่ายหนึ่ง เสร็จจากนั้นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ นั่นก็คือกลับเข้าสู่การเรียนรู้ใน “ชั้นเรียน” อีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ผมถึงพยายามกระตุ้นให้นิสิตชาวค่ายได้ถ่ายทอดเรื่องราวค่ายของตนเองออกมาเป็นหนังสือ “เด็กค่าย” เพื่อสื่อสารกับคนที่ไม่ได้ไปค่าย เพราะนี่คือกระบวนการอันแสนงามที่สุดอีกกระบวนการหนึ่งที่ยืนยันได้ว่านิสิตสามารถ “แบ่งปันความรู้และความดีงาม” สู่กันได้ แถมยังสามารถนำไปเป็นฐานข้อมูลในการเรียนรู้ในจังหวะต่อไป เพราะผมเชื่อว่าเรื่องเล่าที่เขียนขึ้นนั้น ย่อมผ่านการ “ถอดบทเรียน” (Lessons Learned) เสร็จสรรพ หรือตกผลึกในระดับหนึ่ง เมื่อสื่อสารเป็นหนังสือ หรือแม้แต่มานั่งเล่าสู่กันฟัง ผมก็ถือว่านั่นคือกระบวนการของการเรียนรู้ร่วมกัน (Share & Learn) เพื่อยึดโยงสู่การจัดกระทำข้อมูลในสังคมฐานความรู้ (Knowledge-based Society) สู่การเป็นคลังความรู้และองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ที่มีการจัดการความรู้อย่างไม่รู้จบ (Infinity KM)
แต่ในความเป็นจริง ผมอาจไม่จำเป็นต้องพูดศัพท์แสงเชิงวิชาการเช่นนั้นเสมอไป เพราะเชื่อว่าหากนิสิตสร้างสรรค์เรื่องเล่าออกมาได้ ก็เท่ากับว่านิสิตชาวค่ายเหล่านั้นได้ขับเคลื่อนกระบวนการอันแสนงามเหล่านั้นไปในตัวอยู่แล้ว เมื่อเรื่องเล่าของชาวค่ายเดินทางมาถึงมือผม หน้าที่หลักของผมก็คือนำพาเรื่องราวเหล่านั้นไปโลดแล่นในสไตล์ของมันเอง ด้วยการจัดกระทำเป็นหนังสืออ่านเล่นตามแนวคิด “นวัตกรรมความคิดนิสิต มมส” ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเป็นการสร้างจดหมายเหตุนิสิตชาวค่ายในอีกมิติหนึ่งด้วยเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี หนังสือ “เด็กค่าย” เล่มนี้ ผมตัดสินใจรวบรวมเรื่องเล่าของนิสิตชาวค่ายตั้งแต่ปีการศึกษา 2553-2554 มาจัดเรียงไว้ด้วยกัน ด้วยหวังใจว่าจะเป็นการสะท้อนให้เห็นเรื่องราวอันเป็นปรากฏการณ์ หรือพัฒนาการบางอย่างไปในตัว คล้ายกับจะชวนให้นิสิตชาวค่ายได้ถอดบทเรียนชีวิตกลับไปสู่อดีตกันอีกสักครั้ง เพื่อให้สามารถเห็นจุดยืนของวันนี้และปลายทางที่จะเดินไปสู่พรุ่งนี้ให้เป็นรูปธรรมและมีพลังมากยิ่งขึ้น
ซึ่งก็เป็นที่น่าสุขใจ...
หลายเรื่องสามารถบันทึกเรื่องราวรายวันของค่ายได้อย่างน่าทึ่ง สะท้อนภาพชีวิตชาวค่ายตั้งแต่เช้ารุ่งไปจนถึงเข้านอน หลายเรื่องชื่อสารความงามของมิตรภาพชาวค่ายและชาวบ้านอย่างมหัศจรรย์ งานค่ายเป็นบทสรุปที่หนักแน่นว่า “ไม่ใช่ญาติ...ก็เหมือนญาติขาดไม่ได้” เพราะงานค่ายได้หลอมรวมผู้คนให้รักและผูกพันกันราวกับเป็นพี่น้องจากท้องเดียวกัน.. มิหนำซ้ำยังยืนยันอย่างแน่นหนักว่า “ความรัก” จาก “พ่อฮักแม่ฮัก” นั้นบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่เกินบรรยาย หรือแม้แต่การสื่อสะท้อนให้เห็นว่างานค่าย คือกระบวนการสำคัญของการสร้างเสริมจิตสำนึกให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในบริบทของค่ายได้หันกลับไปทบทวนเรื่อง “จิตสำนึกสาธารณะ” หรือ “สำนึกรักบ้านเกิด” ของตนเองได้อย่างนิ่งเนียน
ท้ายที่สุดนี้ ผมขอให้เรื่องเล่าในแต่ละเรื่องได้ทำหน้าที่ของมันเอง แม้จะไม่เด่นสง่าเฉกเช่นนักเขียนทั่วไป แต่ก็ชื่อเหลือเกินว่าเรื่องทุกเรื่องล้วนงดงามและแสนงามเกินละข้ามไปได้
ก็แน่ละ “ความดี” (จิตสำนึกสาธารณะ) ย่อมงดงามและแสนงามเสมอ
ศรัทธา เชื่อมั่น
พนัส ปรีวาสนา
กันยายน,2554
ขอสนับสนุนและเอาใจช่วยเสมอครับ
มาเยี่ยม ด้วยความระลึกถึงค่ะ
...
หัวใจยังคงนำพา
ศรัทธายังคงเดินทาง
หัวใจไม่เคยเว้นว่าง
พลังยังคงสร้างคน
...
งานหนัก ไม่เคยฆ่าใคร
หัวใจ ไม่เคยฆ่าเพื่อน
ความดีงาม ไม่เคยเลอะเลือน
ไม่มีคำเตือน ห้ามอ่านเกินวันละสองรอบ ;)...
...
สบายดีเช่นเดิมนะครับ ;)...
ผมอาจไม่จำเป็นต้องพูดศัพท์แสงเชิงวิชาการเช่นนั้นเสมอไป เพราะเชื่อว่าหากนิสิตสร้างสรรค์เรื่องเล่าออกมาได้ ก็เท่ากับว่านิสิตชาวค่ายเหล่านั้นได้ขับเคลื่อนกระบวนการอันแสนงามเหล่านั้นไปในตัวอยู่แล้ว
ประทับใจและเห็นด้วยคะ ความรู้อยู่ในตัวคน มิได้อยู่ที่คำนิยาม ขอบคุณคะ :-)
สวัสดีครับท่านอาจารย์ แผ่นดิน
อ่านบันทึกนี้แล้วให้นึกถึงหนานเกียรติจับใจ
ทุกค่ายเยาวชนที่จัดให้เด็กได้คิดได้เขียนได้เก็บข้อมูล แล้วมาทำเป็นหนังสือทำมือ
ค่ายเยาวชนที่เผ่าลั๊วะ ได้รู้ไโ้เห็นเด็กชายขอบ สนใจ...อยาก...เราผู้ใหญ่ก็มีความสุขที่ได้ให้......
สวัสดีค่ะ
"......งานค่าย คือกระบวนการสำคัญของการสร้างเสริมจิตสำนึกให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในบริบทของค่ายได้หันกลับไปทบทวนเรื่อง “จิตสำนึกสาธารณะ” หรือ “สำนึกรักบ้านเกิด” ของตนเองได้อย่างนิ่งเนียน...."
ลำดวนคิดเช่นเดียวกันนี้ค่ะ
ค่ายเล็กๆในโรงเรียนประถม
ที่เราช่วยกันผลักดันจึงมีให้เห็นอยู่บ้างเช่นกัน
อย่างน้อยเป็นการฝึกพื้นฐานการอยู่ร่วมกันค่ะ
ขอเป็นหนึ่งกำลังใจค่ะ
เป็นบันทึกที่งดงามปลูกฝังจิตสาธารณะที่น่าชื่นชมมากค่ะ...มีภาพน้องๆจิตอาสาเยี่ยมคุณตาคุณยายด้วยความสุขของทุกฝ่ายค่ะ..
สวัสดีครับ คุณ อักขณิช
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจ นะครับ
สวัสดีครับ อ.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
หนังสือค่ายชุดนี้ ค้นพบปรากฏการณ์หลายประเด็น เช่น
ขอบคุณครับ