เมื่อศูนย์ความรู้ได้รับมอบหมายให้เป็นแม่งานจัดทัศนศึกษาในท้องถิ่นของโรงเรียน เพื่อให้บุคลากรได้รู้จักท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนั้น
มีเงื่อนไขตามมาว่า
· ต้องจัดให้มีทัศนศึกษาจำนวน ๑๐ ครั้ง ภายในปีการศึกษานี้
· เป็นการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับเท่านั้น
· บุคลากรแต่ละคนมีสิทธิไปคนละ ๒ ครั้งต่อปีการศึกษา
· ออกเดินทางเฉพาะในวันเสาร์เท่านั้น
ตอนแรกผู้จัดการโรงเรียน (ผู้มอบหมาย) มีความกังวลว่าจะไม่มีคนไป
ซึ่งจะทำให้โครงการไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ผู้จัดการตั้งไว้
ว่าร้อยละ ๘๐ ของบุคลากรต้องเข้าร่วมโครงการ
เรื่องการตั้งเป้าหมายที่จำนวนการเดินทาง ๑๐ ครั้ง
และต้องได้ผู้ร่วมโครงการร้อยละ ๘๐ ของบุคลากรทั้งหมดนี้
ผู้เขียนมีความเห็นว่า
เป็นระบบการจัดตั้งโครงการที่ตั้งสายตาไว้นอกงานประจำ
แล้วใช้ระบบประเมินผลเชิงปริมาณ มาเป็นเครื่องมือประเมินผลโครงการ
ดังนั้นในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในส่วนของการดำเนินงาน
จึงได้เสนอขอตั้งคณะทำงานที่เป็นอาสาสมัครตัวแทนจากทุกหน่วยงาน
และเมื่อได้คณะทำงานมาแล้ว ก็เริ่มประชุมกันทันที
ลำดับแรกสุดก็คือต้องมาทำความเข้าใจคำว่า "ท้องถิ่น" กันก่อน
หลังจากพิจารณาว่าจะเลือกกำหนดขอบเขตของ "ท้องถิ่น" ของโรงเรียนด้วยอะไร
จะใช้มิติของระยะทาง หรือมิติของเวลาในการเดินทาง กันอย่างไร
เมื่อถกกันจนได้ที่แล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่า
เนื่องจากในเอกสารแนะนำโรงเรียนเพลินพัฒนา ระบุว่าเราเป็นโรงเรียนที่มีท้องถิ่นคือกรุงเทพมหานคร
เราจึงควรทำความรู้จักกับ "กรุงเทพมหานคร" นั่นเอง
แล้วจึงร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์หลักด้วยกัน
หลังจากนั้นคณะทำงานก็แยกกันไปเก็บข้อมูลจากบุคลากรในฝ่าย
ที่ช่วยกันเสนอสถานที่และแหล่งเรียนรู้กันเข้ามา
เมื่อนัดประชุมกันอีกครั้ง ก็ได้พบกับความปิติยินดีว่า
บุคลากรในแต่ละหน่วยงานได้เสนอสถานที่และแหล่งเรียนรู้กันเข้ามามากมาย
ทั้งที่เคยรู้ เคยเห็น เคยไป แล้วอยากให้คนอื่นได้ไปบ้าง
ทั้งที่ไปค้นหาข้อมูลจากหนังสือ และ Internet
และที่ๆ อยากไปรู้ไปเห็น เพราะได้ยินเขา "เล่ากันว่า" น่าสนใจก็มี
นอกเหนือไปกว่านั้น สถานที่หลายแห่งก็เหมาะกับการพานักเรียนไปออกภาคสนาม
การจัดทัศนศึกษานี้จึงเป็นการทำให้ครูทำงานง่ายขึ้น
และยังเป็นการแบ่งปันแหล่งความรู้ แหล่งข้อมูลกัน ในหมู่บุคลากรโดยตรง
ทั้งข้ามช่วงชั้น และสายงาน
ยังมีสิ่งที่พลิกความคาดหมายอย่างมากอีกก็คือ ได้มีการขอต่อรองว่า
ไม่จำกัดจำนวนครั้งไม่ได้หรือ ที่กำหนดว่าให้ไปคนละ ๒ ครั้งต่อปีมันน้อยไป
ผู้จัดการซึ่งตอนแรกกลัวว่าจะไม่มีคนไป จึงได้อนุมัติให้เป็นคนละ ๕ ครั้งต่อปี
เนื่องจากโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยใช้งบประมาณในส่วนของการพัฒนาบุคลากร
ข้อนี้เป็นการตอบโจทย์ง่ายๆ ในการสร้างการมีส่วนร่วมในโครงการ
นั่นคือให้เขาได้มีส่วนในการกำหนดวางแผนนั่นเอง ฟันธง !!!
ยิ่งไปกว่านั้น ครูที่ดูแลหน่วยวิชามานุษกับโลก (แปลว่ามนุษย์หลายๆ คน กับการทำความรู้จักโลกทั้งในแง่ของธรรมชาติศึกษาและสังคมศึกษา)
ได้เสนอโครงการบันทึกการเดินทางด้วยวิดีทัศน์
เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนของช่วงชั้นที่ ๑ ด้วย
เพราะอยากให้เด็กรู้จักชีวิตชุมชนแถวโรงเรียน
แต่ก็ไม่สามารถพาเด็กเล็กขึ้นเรือไปดูของจริงได้
ตอนที่สนุกกันมากก็คือ การวางโครงเรื่องและเส้นทาง
โดยแบ่งเป็นตอนย่อยๆ ๑๐ ตอน ตลอดปีการศึกษา
แต่ละตอนเป็นเรื่องราวที่ร้อยเรียงต่อกัน และจบลงในตัวเองก็ได้ด้วย
(จะขอเล่ารายละเอียดแยกเป็นอีกบันทึกหนึ่งค่ะ)
ในตอนย่อยทั้ง ๑๐ ตอนนี้ก็มีทีมสำรวจและจัดการเล็กๆ ๑๐ ชุด เป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละตอนย่อย
อันหมายรวมถึงการเขียนบท กำหนดเรื่องราวสำหรับทำสื่อวิดีทัศน์ด้วย
(เมื่อประชุมถึงตรงนี้มีการเสนอตัวเองเป็นพิธีกรกันอย่างสนุกสนาน)
น่าแปลกที่มีผู้อาสาเป็นทีมสำรวจและจัดนำเที่ยวตอนย่อยกันอย่างคึกคัก
ทั้งที่แต่ละคนก็มีงานประจำกันอยู่อย่างเต็มมือ
ทำให้เห็นว่า การได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราชอบ
และได้เป็นเจ้าของงานเอง
ได้เป็นการเพิ่มพลัง โดยเฉพาะการลงมือเพื่อมุ่งทำให้คนอื่นแบบนี้
ทำให้ ผู้ให้กลายมาเป็นผู้รับไปเต็มๆ คือ ได้รับสุขจากการเห็นพี่น้องและเพื่อนๆ คนอื่นๆ
แสดงความสนใจและอยากเข้าร่วมเดินทางไปด้วย
ทั้งจากการถามไถ่แบบ F2F
และดูได้จากสถิติการเข้าดู Forum ที่พุ่งสูงเป็นพิเศษ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวใน Forum เป็นศูนย์ (หลังจากจบงาน Artifact )
ซึ่งการใช้ Forum นี้ ศูนย์ความรู้ตั้งใจให้คณะทำงานได้ใช้ Forum เป็นกระดานข่าวแจ้งรายละเอียดและความคืบหน้าของโครงการ
เพื่อเป็นการปูทางในการเปิดพื้นที่เสมือนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของบุคลากรต่อไป
เป็นการทำงานเดียวแต่ได้ผลหลายอย่างที่ผู้เขียนชอบมาก
และในวันที่เขียนบันทึกนี้
ก็ได้ผ่านการเดินทางตอนแรกไปแล้ว
ผลตอบรับที่ทำให้คณะทำงานดีใจมากก็คือ
มีการจองที่สำหรับการเดินทางล่วงหน้าจนถึงครั้งสุดท้ายเข้ามาแล้ว
นั่นคือการจองข้ามปี เพราะครั้งสุดท้ายจัดในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ซึ่งเป็นการเดินทางก่อนปิดภาคเรียนสุดท้ายของปีการศึกษานี้
ขอจบบันทึกด้วยภาพบางส่วนจากการเดินทางในครั้งนี้ค่ะ
ป้ายจราจรแบบนี้ ต้องเดินทางด้วยเรือจึงได้พบเห็นเท่านั้น
ริมคลองไม่มีเซเว่นฯ
วันนี้...ผู้คนก็เริ่มหันหลังบ้านออกคลอง
แล้วเราก้าวเข้าสู่...ยุคสมัยของการหันส้วมออกคลองแทนหน้าบ้านแล้ว
ไม่มีความเห็น