กรณีของน้องนุช กับยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล
มันเป็นความผิดของ“น้องนุช” ด้วยหรือ ที่เธอจะต้องกลายเป็นเด็กหญิงที่ไม่มีตัวตนทางกฎหมาย เป็นบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และกลายเป็นบุคคลไร้รากเหง้า เพียงเพราะเธอเป็นบุตรของบิดาและมารดาที่เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
“น้องนุช” คงไม่ใช่เด็กคนแรก และคนสุดท้ายในประเทศนี้ที่กำลังประสบกับปัญหาเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของบุคคล แม้ว่าเธอไม่อาจเลือกได้ว่าจะเกิดที่ใด แต่เธอก็ควรมีสิทธิเลือกว่าจะดำรงชีวิตต่อไปอย่างไรมิใช่หรือ
เราไม่ทราบประวัติเธออย่างแน่ชัดว่า “น้องนุช” หรือเด็กหญิงปิยนุช อากาเป วัย 11 ปี เกิดในประเทศไทยหรือไม่ เรารู้เพียงว่าเธอมีพ่อและแม่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวพม่า(ไม่แน่ชัดว่าสัญชาติพม่า ด้วยหรือไม่ )ที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย และด้วยเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอไม่อาจได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดน ตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 ได้ เนื่องจาก มาตราดังกล่าววางหลักว่าบุคคลซึ่งจะได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดนนั้นจะต้องเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ยกเว้น บุคคลตาม มาตรา 7 ทวิ วรรค 1[i]
อย่างไรก็ดีผู้บัญญัติกฎหมายเหมือนจะมีตาที่สามเล็งเห็นปัญหาอันจะเกิดตามมาในอนาคต จึงได้บัญญัติมาตรา 7 ทวิ วรรค 2 เป็นการเปิดช่องโดยวางหลักว่า หากเป็นกรณีที่เห็นสมควรรัฐมนตรีจะพิจารณาสั่งเฉพาะรายให้บุคคลดังกล่าวได้สัญชาติไทยก็ได้ โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
นั่นย่อมแสดงนัยว่าหากมีคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สัญชาติไทยแก่“น้องนุช” คนไทยตามข้อเท็จจริง ซึ่งปราศจากการยอมรับความมีตัวตนในทางกฎหมายเธอก็จะกลายเป็นคนไทยทั้งตามกฎหมายและตามข้อเท็จจริงได้อย่างเต็มภาคภูมิ
และด้วยเหตุที่มีกฎหมายเปิดช่องให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการให้สัญชาติไทยแก่บุคคลตาม มาตรา 7 ทวิ วรรค 2 ประกอบกับแนวทางตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ที่ว่า “ประชาชนที่อยู่ในประเทศเขามีมานานแล้ว แต่ก็ไม่เป็นคนไทย คือ เขาไม่ถือว่าเป็นคนไทยแท้จริง เขาอยู่และเกิดในเมืองไทย แต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์ของความเป็นไทย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะต้องปฏิบัติเหมือนกัน เพราะว่าถ้าหากว่ามีคนที่อยู่ในเมืองไทยและก็มีความน้อยใจมาก ไม่มีใครเอาใจใส่ ก็จะทำให้ความมั่นคงของประเทศด้อยไป” คณะรัฐมนตรีจึงมีมติลงวันที่ 18 มกราคม 2548 กำหนดยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ขึ้นมาเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว โดย“น้องนุช”ถือเป็นบุคคลกลุ่มที่ 5 ตามยุทธศาสตร์กำหนดสถานะ คือ เป็นบุตรที่เกิดจากแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ที่ได้รับการจดทะเบียนแต่ไม่สามารถเดินทางกลับได้เนื่องจากประเทศต้นทางไม่ยอมรับ จึงได้รับสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศชั่วคราว และต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อกำหนดสถานะตาม กลุ่ม 2 คือ ในกรณีของเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาของประเทศไทยแต่ไม่มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อเธอยังไม่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจึงจำต้องเข้าสู่กระบวนพิจารณาตามยุทธศาตร์สำหรับบุคคลที่อพยพเข้ามาประเทศไทยว่าจะเข้ากรณีการให้สัญชาติไทยแก่บุตรของคนต่างด้าวที่มีชื่อในระบบทะเบียนซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 10 ปี จนกลมกลืนกับประเทศไทยและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทาง หรือไม่มีจุดเกาะเกี่ยวใดๆกับประเทศต้นทางอันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด โดยบุตรของคนต่างด้าวนั้นจะได้รับสัญชาติไทยก็ต่อเมื่อเกิดในราชอาณาจักรไทยตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด หรือไม่
นอกจากนี้“น้องนุช” ยังอาจได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 ได้ แต่ก็อาจเนิ่นช้าไปไม่ทันกาล เพราะ กฎหมายบัญญัติว่าผู้ที่จะขอแปลงสัญชาติได้นั้นจะต้องบรรลุนิติภาวะทั้งตามกฎหมายไทยและกฎหมายที่เขามีสัญชาติ และจะต้องมีความประพฤติดี มีอาชีพเป็นหลักฐาน มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรต่อเนื่องมาจนถึงวันยื่นคำขอไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องมีความรู้ภาษาไทยตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ซึ่งอย่างน้อย“น้องนุช”ก็ต้องรออีก 9 ปี แล้วช่วงเวลานี้เธอจะดำเนินชีวิตอย่างไรล่ะ
แม้ว่ากฎหมาย[ii]จะมีบทบัญญัติรองรับสิทธิขั้นพื้นฐานของ“น้องนุช”ซึ่งถือเป็นสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิตามธรรมชาติ (natural right)ที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่คลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถบริโภคสิทธิเหล่านั้นได้อย่างบริบูรณ์ ตราบเท่าที่เธอยังคงเป็นเพียงบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ หรือบุคคลไร้รากเหง้า
หากจะถามว่าทำไมเราจึงควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือ“น้องนุช” ก็สามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม นั่นเอง แต่ถ้าจะต้องอธิบายโดยยึดโยงกับหลักการแล้วก็ต้องกล่าวถึง อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก[iii] (Convention on the Rights of the Child 1989 )ซึ่งกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กไว้ 4 ประการ คือ ประการแรก หลักการห้ามเลือกปฏิบัติ โดยไม่คำนึงว่าเด็กจะมีที่มาที่ไปอย่างไร เพศใด นั่นย่อมหมายความว่า“น้องนุช” ควรจะได้รับการจดทะเบียนเกิดโดยปราศจากการแบ่งแยกสัญชาติ
ประการต่อมา คือ หลักการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงของเด็ก (Best Interest of the Child ) กล่าวคือ เราควรให้การรับรอง“น้องนุช”ให้มีสถานะเป็นบุคคลจริงๆตามกฎหมาย แทนการปล่อยให้“น้องนุช”กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้รากเหง้าในที่สุด
ประการที่สาม คือ เด็กทุกคนย่อมมีสิทธิอยู่รอดและสิทธิที่จะได้รับการพัฒนา (Right to Life ,Survival and development ) กล่าวคือ หากเราไม่จดทะเบียนให้“น้องนุช” ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตตั้งแต่การเรื่องการได้รับรัฐสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน การรักษาพยาบาล การประกอบอาชีพ การประกันสังคม และอื่นๆอีกมากมายที่จะตามมาในอนาคตซึ่งย่อมส่งผลไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลานของเธอด้วย
และประการสุดท้าย คือ การเคารพและรับฟังความคิดเห็นของเด็ก ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ปัญหาของ“น้องนุช”เกิดขึ้นเนื่องจากเธอขาดเอกสารใดๆที่แสดงความมีตัวตนทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือรับรองการเกิด หรือเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก แม้เธอจะมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศพม่าตามหลักสืบสายโลหิต เนื่องจากเธอมีบิดาและมารดาสัญชาติพม่า แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่าเมื่อประเทศพม่าไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กหญิงเล็กๆตัวคนเดียวเช่นเธอ และเธอก็ไม่เคยรับรู้เรื่องราวใดๆเกี่ยวกับญาติพี่น้องของพ่อ และแม่ในพม่าเลยแม้แต่น้อย มันจะไม่ดูเป็นการใจร้ายเกินไปหรือหากเราพยายามส่งตัวเธอกลับไปยังพม่า ดินแดนซึ่งเธอไม่เคยแม้แต่ใช้ชีวิตมาก่อน
อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมโรงเรียนวัดโพธิ์ทองบนไทยรัฐ ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และกระทรวงศึกษาธิการที่เปิดโอกาสให้เด็กไร้สัญชาติและไม่มีทะเบียนเกิดอย่าง “น้องนุช” เข้าเรียนได้โดยถือเป็นแบบอย่างของการกระทำที่เป็นคุณต่อเด็กอย่างยิ่ง ดีกว่าปล่อยให้กลายเป็นเด็กเร่ร่อน ที่เป็นภาระและเป็นปัญหาต่อสังคมในอนาคต
ท้ายนี้ข้าพเจ้าหวังว่าปัญหาการรับรองสถานะและสิทธิดังเช่นกรณีของ“น้องนุช”จะเป็นกรณีศึกษาสุดท้าย หากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชนร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขเยียวยา และผลักดันให้ยุทธศาสตร์ตามมติคณะรัฐมนตรีดำเนินไปอย่างรูปธรรมและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
[i] มาตรา 7 ทวิ วรรค 1ได้วางหลักในเรื่องนี้ไว้ว่า ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย ถ้าในขณะเกิดนั้นบิดาตามกฎหมาย (บิดาโดยนิตินัย) หรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดา(บิดาโดยพฤตินัย) หรือมารดาของผู้นั้นเป็น.....(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
มาอ่านอีกครั้งแล้วค่ะ