การกำหนดวิธีการและการจัดการกับสถานะการณ์ปัญหาการไร้รัฐของเด็กหญิงปิยนุช อากาเป เด็กหญิงปิยนุช เป็นบุคคลที่เกิดในประเทศไทยจากบิดาและมารดาชาวพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย เมื่อบิดาและมารดาได้เสียชีวิตลงในขณะที่เด็กหญิงปิยนุชยังเป็นผู้เยาว์ ได้มีคุณมุขทำหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดู โดยรับมาและให้พำนักอยู่ที่ศูนย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้าและเรียนหนังสือจนขณะนี้กำลังศึกษาในชั้น ป 4 ปัจจุบันเด็กหญิงผู้นี้อายุ 11 ปี การที่จะกำหนดวิธีการและการจัดการปัญหาการไร้รัฐในกรณีนี้ จึงต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ถึงสถานะตามกฎหมายของเด็กหญิงปิยนุช และวิเคราะห์ในด้านสิทธิของเด็กหญิงผู้นี้ที่มีต่อรัฐไทย ต่อจากนั้นจึงวิเคราะห์ถึงสิทธิที่จะพึงมีพึงได้ตามกฏหมายระหว่างประเทศและตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 หลังจากนั้นจึงจะสามารถสรุปและเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา 1 สถานะบุคคลตามกฎหมายไทยของเด็กหญิงปิยนุชในขณะที่เด็กหญิงปิยนุชเกิดนั้น บุคคลผู้นี้ไม่อาจได้สัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดาและมารดา โดยผลของมาตรา 7(1) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ 2508 เพราะบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวเมื่อพิจารณาถึงการได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดนในมาตรา 7 (2 ) ในกรณีนี้ เด็กหญิงปิยนุชแม้จะเกิดในประเทศไทยแต่ก็เกิดจากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองมาโดยมิได้รับอนุญาติ จึงย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทยตามหลักในมาตรา 7ทวิ (3 ) อันเป็นบทยกเว้นของมาตรา 7 (2 )อย่างไรก็ตาม การที่เด็กหญิงปิยนุชเป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทย จึงไม่ถือเป็นบุคคลที่เข้าเมืองโดยมิได้รับอนุญาติ ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/ 2533 และย่อมถือได้ว่าเป็นคนไร้สัญชาติที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยแล้ว 2 บทวิเคราะห์ในด้านสิทธิของเด็กหญิงปิยนุชที่มีต่อรัฐไทย เมื่อพิจารณาถึงสิทธิในความเป็นมนุษย์ของเด็กหญิงปิยนุช ทั้งในด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เช่นปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนษย์ชน ค.ศ 1948 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ 1989 ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของคนไร้รัฐ รวมทั้งกฎหมายภายในของประเทศไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ 2540 ตามมาตรา 4 ที่รับรองถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคล และมาตรา 30 ในเรื่องความเสมอภาคกันกฎหมายของบุคคล ทำให้เห็นว่าเด็กหญิงปิยนุช ซึ่งเกิดในประเทศไทยและไม่สามารถเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทางได้ รวมทั้งเป็นบุคคลไร้รากเหง้า ( บิดามารดาที่เป็นคนต่างด้าวได้เสียชีวิต) จึงเป็นบุคคลที่สมควรได้รับการพิจารณาให้พำนักอยู่ในประเทศไทย จากข้อเท็จจริงที่ปรากฎอีกว่า เด็กหญิงปิยนุชซึ่งเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีเอกสารใด ๆ ที่จะพิสูจน์ตัวบุคคล จึงส่งผลให้เด็กหญิงปิยนุชเป็นบุคคลไร้สัญชาติโดยข้อเท็จจริงอีกด้วย ดังนั้นกระบวนการที่จะเยียวยาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ นอกจากจะอาศัยกฎหมายแล้วยังต้องอาศัยสิทธิที่จะเกิดขึ้นตามกรอบยุทธศาสตร์การจัดการสถานะและสิทธิของบุคคลตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ 2548 อีกด้วย 3 สิทธิของเด็กหญิงปิยนุชที่จะพึงมีพึงได้ตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ 2548 ยุทธศาสตร์ตามมติ ครม. นี้เป็นการกระทำทางปกครองที่นำเอาหลักการที่สำคัญตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในมาผสมผสานกันเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของบุคคลไร้สัญชาติ โดยอยู่ในหลักการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลและความมั่นคงของชาติ การยอมรับความจริงว่ามีกลุ่มคนที่มีปัญหาทางสถานะและสิทธิที่ไม่สามารถส่งกลับไปยังประเทศต้นทางได้และมีการกำหนดให้รับรองสถานะของบุคคลเหล่านี้ตามกฏหมายไทยแก่กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม ทั้งนี้นอกจากเพื่อหลักสิทธิมนษยชน ความมั่นคงของชาติแล้ว ยังเป็นการปฎิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย ในกรณีของเด็กหญิงปิยนุชนี้ เป็นบุคคลต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยแต่เป็นบุคคลไร้รากเหง้าและยังไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันหรือพิสูจน์ถึงสถานะความเป็นบุคคลอีกด้วย จึงจัดเป็นบุคคลในกลุ่มที่ 5 ตามยุทธศาสตร์ กล่าวคือ เป็นบุคคลไร้รากเหง้าซึ่งไม่ทราบที่มาหรือจุดเกาะเกี่ยวที่ชัดเจนโดยไม่มีประเทศต้นทางใดยอมรับ รวมทั้งไม่ได้มีการกำหนดสถานะใด ๆ ให้แก่บุคคลเหล่านี้อย่างชัดเจน ซึ่งมาตรการเร่งด่วนที่ทางการสามารถจะกระทำได้ในกรณีนี้คือการให้สถานะทางบุคคลโดยเริ่มจากการสำรวจและบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ชื่อของเด็กหญิงปิยนุชนี้ไปปรากฎอยู่ในระบบทะเบียนราษฎร์ อันจะก่อให้เกิดการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานอื่น ๆ เช่น สิทธิในการศึกษา สิทธิในการรักษาพยาบาล เป็นต้น ทั้งนี้อย่างน้อยก็เพื่อให้เด็กหญิงปิยนุช สามารถอยู่ในสังคมและมีโอกาสทำประโยชน์ให้กับสังคมในอนาคตต่อไป 4 ข้อเสนอแนะและแนวทางในการแก้ไขปัญหา ระยะแรก : การให้สถานะบุคคลแก่เด็กหญิงปิยนุช รัฐควรดำเนินการสำรวจและบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลให้กับเด็กหญิงปิยนุช เพื่อที่จะได้ถูกจัดอยู่ในสารบบทะเบียนและจัดเป็นบุคคลที่มีสถานะทางทะเบียนตามที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด รวมทั้งดำเนินการจัดบันทึกข้อมูลของเด็กหญิงปิยนุชให้อยู่ในทะเบียนราษฎร์และจัดทำบัตรประจำตัวของคนต่างด้าวด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ 2493 เมื่อเด็กหญิงผู้นี้มีอายุครบ 12 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการศึกษาและการได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วย ระยะที่สอง หากเด็กหญิงปิยนุชได้รับการจดชื่อให้อยู่ในระบบทะเบียนราษฎร์และอาศศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 10 ปี จนกลมกลื่นกับสังคมไทยและไม่สามารถเดินทางกลับไปประเทศต้นทางหรือไม่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศต้นทางแล้ว รวมทั้งได้รับการศึกษาจนจบขั้นอุดมศึกษา ในกรณีนี้ก็สามารถที่จะดำเนินการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยตามหลักเกณฑ์ของการขอสัญชาติในโอกาสต่อไป นำเสนอโดย นายอมรินทร์ ม่วงมณี
พ่อเป็นจีน แม่เป็นจีน เข้ามาเมืองไทยทำธุรกิจ
นำเข้าส่งออก มีวีซ่า และWork permited เรียบร้อย เข้ามาอย่างถูกต้อง อยู่เมืองไทยมา 3 ปีแล้ว
ขอถามครับ
ถ้าคลอดลูกที่เมืองไทย จะได้สัญชาติไทยหรือเปล่าครับ
และจะส่งลูกเรียนต่อในเมืองไทยได้ไหมครับ
และถ้าลูกประสงค์จะถือสัญชาติไทยต่อไปในอนาคตจะได้ไหมครับ
ขอบคุณมากครับ