กระแสปฏิรูปการศึกษาดำเนินมาเป็นสิบปี จนเกิดพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ใช้มาแล้ว 7 ปี เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายใต้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ใช้ รมต. ศึกษาฯ เปลืองที่สุด และมีผู้วิเคราะห์ว่าไม่จริงใจต่อการปฏิรูปการศึกษา
บัดนี้เวลาผ่านมาหลายปี ผมฟันธงกับคนในกระทรวงศึกษาธิการหลายคนแล้วที่เป็นคนระดับอดีตอธิบดี รองปลัดฯ และคนที่มีตำแหน่งสูงในปัจจุบันว่า คุณภาพของนักเรียนที่จบระดับต่าง ๆ ด้อยลงไปกว่าเดิม ไม่เห็นมีใครเถียงผมสักคน
ปฏิรูปการศึกษาแล้วคุณภาพการศึกษาเลวลง ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เป็นไปแล้ว ภายใต้การบริหารของรัฐบาลคุณทักษิณ
คุณภาพการศึกษา คุณภาพของผลผลิตในภาพรวมเลวลงจริงหรือไม่ ผมไม่มีคำตอบ แต่ข้อสรุปของผมว่าเลวลง
ทำไมจึงเลวลง ผมไม่รู้มากพอที่จะตอบ แต่ผมจะเดา
ต้นเหตุใหญ่ที่สุดคือ ครูเอาใจใส่ศิษย์น้อยลง เพราะรัฐบาลบริหารแบบประชานิยม ครูนิยมใช้ตำแหน่ง ค่าตอบแทนแลกกับความจงรักภักดี โปรยตำแหน่งอาจารย์ 3 และอื่น ๆ แต่มีเงื่อนไขให้ต้องทำผลงานวิชาการ
เป็นผลงานวิชาการที่ไม่ยึดโยงอยู่กับความเอาใจใส่ลูกศิษย์หรือยึดโยงก็แบบหลอก ๆ
เกิดทั้งผลงานวิชาการกลวง ๆ หลอก ๆ และตำแหน่งสูงขึ้นโดยไม่สามารถดูแลเด็กได้ดีขึ้น
แต่ระหว่างทำผลงานทางวิชาการก็ต้องทิ้งเด็ก
ผู้บริหารไม่ต้องสอน คอยต้อนรับและเอาใจนักการเมืองและเจ้านายเป็นใช้ได้
เหล่านี้คือการเดินผิดทางในวงการศึกษาไทยในระดับนโยบาย ระดับบริหาร
แต่ครูที่เดินถูกทางก็ยังมีอยู่ ครูเหล่านี้เป็นแกะดำ เป็นผู้กระด้างกระเดื่อง เป็นผู้ทวนกระแส
เดินถูกทางคือทางแห่งความเอาใจใส่ศิษย์ รักศิษย์ สร้างความรู้และผลงานจากการดูแลศิษย์ ไม่ใช่จากการทอดทิ้งศิษย์
วิจารณ์ พานิช
20 ส.ค.49
"ประโยชน์ใด ๆ ที่แล้วมา ไม่อาจนำพา "เรือจ้าง" ข้ามฝั่งได้........ แต่หากรวมพลังเพื่อวันใหม่ที่สดใสและเป็นพลัง..... เป็นกำลังใจให้"ครู" ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและปราศจากเจตคติที่ไม่ดี เชื่อว่า "ครู" ก็ยังไม่สิ้นหวัง บนเส้นทางที่ได้เลือกแล้วและกำลังเดิน....ต่อไป ไม่มีใครผิดและเดินหลงทาง แต่ถ้ายังไม่ทำอะไร ทุกอย่างที่ทำมาจะถึงทางดัน.........
เห็นด้วยครับกับอาจารย์อย่างมากครับ
ทำให้ผมได้มุ่งมองและแนวคิดเพิ่มขึ้นอีกครับ
เป็นอาหารสมองชั้นดี และถือว่าเป็นกำลังใจให้แก่ ผู้ตามกระแส แต่ไม่ตามกกระแส ของแนวคิดของเรื่องการศึกษาที่ดูเหมือนจะดี แต่ยิ่งทำให้เลวร้ายขึ้นอีกครับ
เห็นด้วยกับความคิดเห็นของอาจารย์ การศึกษาไทยยิ่งปฏิรูปยิ่งยุ่งเหยิงวนเวียนอยู่ในอ่าง
ยิ่งเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาบ่อย นโยบายก็เปลี่ยนเป็นว่าเล่น คนที่มาเป็นรัฐมนตรีมีความเข้าใจเรื่องการศึกษามากน้อยขนาดไหน ปัญหาที่แท้จริงของการศึกษาไทยคืออะไร วิถีชีวิตของคนไทยเป็นอย่างไร การที่จะนำของผู้อื่นมาใช้เคยมองอะไรบ้างหรือไม่ว่าสามารถนำมาใช้กับสังคมไทยหรือคนไทยได้มากน้อยแค่ไหน
การใช้การประเมินจากบุคคลภายนอก ผู้ประเมินและแบบประเมินอยู่บนมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ การประเมินสามารถบ่งบอกอะไรบ้าง แล้วผลการประเมินนำไปใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษามากน้อยขนาดไหน โรงเรียนที่ผ่านการประเมินกับโรงเรียนที่ไม่ผ่านแตกต่างกันอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริหารและครูผู้สอนสับสนต่อการปฏิบัติ ทำให้ผู้บริหารและครูเดินหลงทาง หาทางออกไม่ได้ ผู้บริหารมั่วเมาแต่ชื่อเสียง ผุ้บริหารพยายามทำให้โรงเรียนได้รับรางวัลมากมายจากกการประกวดก็คิดว่าการจัดการศึกษาประสบความสำเร็จ
แต่หารู้ไม่ว่าเวลาที่จะทำการสอนนั้นกลับ นำมาทำเอกสารหลักฐานเพื่อรับรองการประกวด แล้วจะไม่ทำให้คุณภาพการศึกษาไทยต่ำได้อย่างไร
การศึกษาไทยจึงจบลงด้วยความเศร้า
งบประมาณสนับสนุนห้องสมุดก็เป็นในทางตรงกันข้ามกับประโยค "ห้องสมุดเป็นหัวใจของการศึกษาค้นคว้า" ห้องสมุดประชาชนที่มาเลเซีย งบประมาณมากกว่าห้องสมุดมหาวิทยาลัย(บางแห่ง) ไม่ต้องพูดถึงห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยเลยค่ะ ต้องอาศัยเอกชนช่วยสนับสนุนงบประมาณ จึงจะทำให้ห้องสมุดทำงานได้
การจัดทำ TK Park เป็นสิ่งดีค่ะ แต่ทำให้ทั่วถึง ทั่วประเทศดีกว่าเอาไปให้เด็กที่มีโอกาสเหลือเฟือในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ดีกว่ามั๊ย
เพราะรัฐบาลไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหาการศึกษา หลอกล่อให้เงินครูน้อยๆ เป็นผู้บริหารจะได้สบายไม่ต้องสอน ทั้งที่เรียนมาเพื่อจะสอนเด็ก พอเป็นครได้จะไม่สอนเด็ก อะไรกันเนี่ย แล้วพวกครูทำผลงานทั้งอาจารย์ 3 คศ. 3 ที่เก่งจริงๆ ก็มีมาก ทำเอาหน้าพอผ่านก็เลิกก็มีมาก คนตรวจผลงานจะให้ครูคนใดได้เป็นอาจารย์ 3 หรือ คศ.3 ต้องมาสังเกตการณ์ ซัก 1 ภาคเรียน ว่าครู เหนื่อย สมควรจะได้อาจารย์ 3-4 คศ.3-4 โดยประสบการณ์ ตั้งแต่ก้าวขาเข้าโรงเรียนเจอนักเรียนต้องแก้ปัญหา กลับบ้านยังโทรฯมาปรึกษา ทำงานตลอดเวลา