เมื่อมีปัญหาแต่ละครั้งท่านแก้ไขอย่างไร
เมื่อถูกคนตำหนิ วิพากษ์ วิจารณ์ในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เราควรทำอย่างไร
สิ่งแรกที่ผมทำอยู่เสมอก็คือ กลับมาย้อนดูตัวเองและให้หาคำตอบให้กับตัวเองว่า “ทำไมเราถึงทำอย่างนั้น”
คำตอบที่ผมกำลังหาคำตอบให้กับตนเองอยู่ในปัจจุบันที่ต้องทำให้กลับไปนอนคิดอยู่หลายตลบเหมือนกันว่า “ทำไมเราถึงต้องทุ่มเทเวลาให้บล็อกและอินเทอร์เนทมากมายถึงขนาดนี้”
“เพราะผมอยากเข้าถึงความรู้ที่มีพลังสูงสุดน่ะสิ” ถึงได้ทุ่มเทเวลาให้มากมายขนาดนี้
ก็เลยต้องนั่งอ่านบล็อก พยายามซึบซับและดึงดูด Tacit Knowledge ประสบการณ์ ค่านิยมต่าง ๆ ที่สั่งสมมาของ Blogger ทุก ๆ คนให้ได้มากที่สุด
มีครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ไม่เคยลืม เมื่อได้ยิน ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน เคยพูดติดตลกในชั้นเรียนพุทธเศรษฐศาสตร์ว่า “คนเราที่ไม่สามารถพัฒนากันได้อย่างมากเท่าที่ควร ก็เพราะไม่สามารถถ่ายเทประสบการและนำประสบการณ์คนอื่นไปต่อยอดได้ อย่างประสบการณ์ของผมเนี่ย ผมตายไปก็หายไป ถ้ามีใครเอาประสบการณ์ของคนอื่นไปต่อยอดได้ ประเทศก็เจริญไปแล้ว”
ในใจผมคิดแว๊บขึ้นมาทันทีเลยครับว่า ถ้าท่านนำประสบการณ์ของท่านเล่าผ่านบล็อกล่ะก็ จะมีคนอีกหลายคนเลยครับที่จะนำประสบการณ์ที่มากมายของท่านไปต่อยอดให้ท่านได้อย่างอเนกอนันต์เลยครับ ดังเช่นที่ดร.ประพนธ์ เคยพูดกับผมว่า “Tacit Knowledge เมื่อก่อนเราคิดว่าต้องออกจากปากเป็นคำพูดเท่านั้น แต่ปัจจุบันเราสามารถนำ Tacit Knowledge ส่งผ่านหนังสือออกมาได้แล้ว”
นอกเหนือจากนั้นยังสามารถเสริมเพิ่มเติมด้วยการพยายามดึงความรู้แฝง embedded knowledge จากรอยเท้าและย่างก้าว รวมถึงเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการดำเนินชีวิตและการทำงานของตนเองออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นการฝึกฝนตนเอง ผนวกกับ Tacit ของตนและของ Blogger ต่าง ๆ อ่านเสร็จ คิดเสร็จ สังเคราะห์เสร็จ แล้วก็นำไปทดลองใช้ เพราะ “ยิ่งใช้ยิ่งงอกงาม” ครับ
ทำไมเราถึงนั่งอ่านบล็อคและคนอื่นไปนั่งอ่านหนังสือจนทำให้เราต้องมีปัญหากับระบบอินเทอร์เนทของมหาวิทยาลัยอยู่คนเดียว?
เพราะผม “อยู่ใกล้เกลือ ต้องกินเกลือ” ก่อนครับ
พยายามเข้าถึงความรู้และเทคโนโลยีของทั้งโลก ซึ่งแหล่งความรู้ของโลกในปัจจุบันส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะความรู้ฝังลึกใน Blog ให้ได้มากที่สุดก่อน
ส่วนหนังสือที่เป็น explicit knowledge ก็ไม่ได้ทิ้งไปเสียเลย แต่เอาไว้อ่านเพิ่มเติม โดยเฉพาะ Pocket Book ของนักวิชาการท่านต่าง ๆ ที่สกัดหรือเด็ดยอดกันออกมาให้เราได้อ่านและสัมผัส เพื่อย้อนดูถึงสิ่งที่อาจจะขาดไปในเทคนิคที่ลงไปปฏิบัติ
ดังนั้นจึงพยายามต่อสู้และยืดหยัดกับจุดยืนทางด้านนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยควร (ต้อง) พยายามที่จะจัดระบบให้นักศึกษา คณาจารย์และนักวิชาการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้สะดวกที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนแล้วไม่แพงเท่ากับการเดินทางไปราชการเพื่อประชุมและสัมมนา
การเดินทางไปเข้าประชุมเสียทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าลงทะเบียนเข้าประชุม อื่น ๆ อีกจิปาถะ ค่าน้ำมันรถ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเอกสารรายงานการประชุม ยังไม่รวมค่าหนังสือ ค่าวารสาร ค่าหนังสือพิมพ์ บทความที่ต้องจ่ายเงินซื้อมา ต้องหาชั้นวาง ตู้ใส่หนังสือ ระบบการยืม-คืนอีกมากมาย ฯลฯ เราใช้อินเทอร์เนทไม่ดีกว่าเหรอครับ
โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ของบ้านเรา บางครั้งระบบจัดเก็บข้อมูลในของหน่วยงานต่าง ๆ ก็ค่อนข้างเข้าถึงยาก (กว่าจะผ่านยามเข้าไปได้ก็แทบแย่ครับ ถามแล้วถามอีก นัดไว้หรือเปล่า) ต้องเดินทางไปถึงที่ของถ่ายเอกสารด้วยตนเอง บางครั้งก็ต้องเสียเวลาหลาย ๆ วันกว่าจะค้นหาเจอ
ปัจจุบันนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกต้องเดินทางขึ้นรถลงเรือตามสถานีรถไฟและสถานีขนส่งกันขวักไขว่มาก ๆ ครับ เพราะต้องเดินทางไปห้องสมุดตามมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ เพื่อสืบค้นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ค่อนข้างจะเข้าถึงยากมาก แต่ในอินเทอร์เนทและบล็อกนี้เราสามารถที่จะได้รับข้อมูล แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้ปฏิบัติจริง ๆ ทำให้การเรียนเป็นไปได้อย่างมีศักยภาพยิ่งขึ้น
ซึ่งอีกประการหนึ่งที่เป็นเป้าหมายหลักของการเรียนเรียนปริญญาเอกต้องคิดต้องค้นต้องหานวัตกรรมอะไรใหม่ ๆ
หนังสือให้คำตอบนี้ไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ครับ ถ้าได้ต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงมาก ๆ
แต่อินเทอร์เนทและบล็อกตอบคำถามนี้ได้ ทำอะไรผิดปุ๊บ ซ้ำปุ๊บ พลาดปั๊บ มีนักวิชาการจากทั่วประเทศเข้ามาช่วยตรวจสอบทันที
ขอแถมในเรื่องของหนังสือและตำราระบบที่มาของหนังสือและตำราในปัจจุบันมีที่มาไม่ค่อยสวยงามเท่ากับในอดีต เพราะเมื่อต้องผูกติดกับระบบปฏิรูปการศึกษาที่ใช้มาตรฐาน KPI และการให้คะแนนต่าง ๆ เป็นตัวตัดสินคุณภาพของอาจารย์และสถาบันการศึกษา โดยเน้นที่ผลงานทางวิชาการ ตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งบันไดก้าวหนึ่งที่จะได้ตำแหน่งเหล่านั้น ก็ต้องผ่านก้าวของการเขียนหนังสือและตำรา บางท่านก็ตั้งใจเขียนเพื่ออยากถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ ความคิด ให้กับนักศึกษาได้อ่าน แต่ก็มีหลาย ๆ ท่านก็ถูกผู้บริหารบังคับให้เขียนเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ เพื่อไม่ให้หน่วยงานของตนตกไปอยู่ในลำดับท้าย ๆ เมื่อมีการจัดชั้นของมหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้มีหนังสือและตำราออกมาจากสาเหตุนี้ค่อนข้างเยอะครับ ซึ่งต้องคิดดูอีกชั้นหนึ่งว่า “ไม่วิจัยแล้วเอาอะไรมาเขียนหนังสือ”
ก็เป็นเหตุผลและมิติตามรูปแบบ “กบฏทางวิชาการ” ครับ ซึ่งพอที่จะได้ผ่านระบบอะไรต่าง ๆ และเจอที่มาของการศึกษาทั้งที่สัมผัสเองโดยตรงและโดยทางอ้อมก็เลยขอคิดใหม่ทำใหม่บ้างครับ ซึ่งอาจจะไม่ถูกระเบียบแบบแผนครูบาอาจารย์สักเท่าไหร่ครับ เพราะตามระบบการศึกษาต่างประเทศและบ้านเรา เจอหน้าที่ปรึกษาก็บอกได้อย่างเดียวว่า
“อ่านหนังสือเยอะ ๆ อ่านหนังสือมาก ๆ อินเทอร์เนทใช้อ้างอิงไม่ได้ เข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ อ่านได้สักร้อยเล่มแล้วค่อยมาคุยกัน”
ในอนาคตที่ไม่ไกลหรืออาจจะไกล การศึกษาไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเป็น
"อ่านบล็อกเยอะ ๆ ใช้ปัญญาคัดกรองมาก ๆ ทดลองปฏิบัติเยอะ ๆ อินเทอร์เนทเป็นข้อมูลที่ใหม่ สด และเข้าถึงได้ดีที่สุด ใช้อินเทอร์เนทครบหนึ่งร้อยชั่วโมงเมื่อไหร่ แล้วค่อยมาคุยกันนะ”.......
วันนั้นจะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทุก ๆ ท่านครับ.
บันทึกมาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
อ่านแล้วอด comment ไม่ได้ ว่าจะไม่แล้วเชียว....Blog กับหนังสือได้คนละอารมณ์กันค่ะ
คนเขียน Blog ไม่ต้องคำนึงถึงการตลาด คนเขียนหนังสือเขียนตามความต้องการตลาด ขายได้...ขายไม่ได้ ขาดทุนคนไม่อ่านเพราะเรื่องที่เขียนไม่ถูกใจ..ตลาด คนเขียน Blog เพราะเชื่อในคุณค่าความรู้ฝังลึกของคน ดึงคุณค่าของตนออกมาสร้างสรรผลงาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นประโยชน์กับใคร แต่รังสรรค์ตามความคิดความอ่านของตน ปราณีตทุกครั้งที่เขียน ระมัดระวังต่อจุดที่อาจกระทบกระทั่ง....มีความสุข...... ดิฉันมีเรื่องเล่าเล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับต้นทุนการใช้ net ของดิฉัน(เรื่องนี้แบบว่า....เล่าเชิงด่าตัวเองไปด้วยค่ะ) ที่ทำงานของดิฉัน ม.สงขลานครินทร์ ที่นี่ใช้ net ฟรีทุกจุดในมหาวิทยาลัยเพียงคุณมี password ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือบุคลากร มี "ไวเลท" ทั่วมหาวิทยาลัย ดิฉันก็ใช้เรื่อยมาในนามนักศึกษาบ้าง บุคลากรบ้างเปลี่ยน password ใหม่ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ วันนึงกำหนดpassword เข้า gotoknow นี่แหล่ะ นั่งทำที่ทำงานคิดซะยาว(เป็นนามสกุลเดิมก่อนแต่งงาน)โดยลืมคิดว่าเราต้องใช้ที่บ้านด้วยที่บ้านใช้แบบการ์ดชั่วโมงละ 12 บาท ดันตั้งซะยาว กลับบ้านไปเปิดเข้า gotoknow ทีไรก็ต้องด่าตัวเองทุกที ยาวเชียว.....กว่าจะพิมพ์เสร็จ เสียเวลาไปหลายวินาที....เปลืองตังส์ แต่พอเปิดที่มหาวิทยาลัยไม่ยักกะคิดเพราะเป็นของหลวง ฮา....
อ่่าน commentคุณเมตตาแล้ว อด comment ไม่ได้ ว่าจะไม่แล้วเชียว. 5555
ในอีกมุมหนึ่ง การเขียนหนังสือที่ไม่ได้คำนึงถึงการตลาดก็พอจะมีอยู่บ้างนะครับ คือ หนังสือทำมือแบบที่นายบอนและพรรคพวกหลายคนเคยทำนี่แหละครับ เพราะเนื้อหาที่คิดจะถ่ายทอดออกมา ยังไงมันก็ขายไม่ได้ แต่มันมีคุณค่าในการอนุรักษ์ภูมิปัญญา แนวความคิด ฯลฯ ซึ่งเป็นองค์ความรู้เฉพาะท้องถิ่น หรือ เฉพาะบุคคล ยังไงมันก็ขายไม่ได้ หากคิดในแง่การตลาด ยังไงก็ไม่มีหนังสือทำมือแบบนี้ออกมาอย่างแน่นอน
แต่ในการเขียนบล็อก หรือสรรหาเนื้ือหามาลงในบล็อกแต่ละครั้ง ของนายบอนเนี่ย รู้นะครับว่า เป็นประโยชน์กับใครบ้าง โดยการคลิกดูที่สถิติที่เก็บรวบรวมไว้ และผู้เข้าชมว่ามาจากที่ไหนบ้าง เวลาเขาสืบค้นจาก google เขาค้นด้วยคำว่าอะไร
ตัวอย่าง
| |||
20 Aug, Sun, 23:55:15 | Google: �ѹ����ç��� blackhead mp3 | ||
21 Aug, Mon, 01:27:44 | Google: ไบโอดีเซล | ||
21 Aug, Mon, 01:28:54 | Google: paploy | ||
21 Aug, Mon, 05:27:34 | Google: ริสแบนด์ | ||
21 Aug, Mon, 06:38:54 | Google: the chant of metta | ||
21 Aug, Mon, 08:47:56 | Google: เพลงลูกทุ่ง | ||
21 Aug, Mon, 09:24:23 | Google: โคโค่ฮอล | ||
21 Aug, Mon, 09:37:31 | Google: การพัฒนาตนเอง | ||
21 Aug, Mon, 09:57:23 | Google: ไม้ไผ่สาน | ||
21 Aug, Mon, 10:23:54 | Google: การจูงใจ | ||
21 Aug, Mon, 10:43:18 | Google: ไบโอดีเซล | ||
21 Aug, Mon, 11:03:43 | Google: ไบโอดีเซล | ||
21 Aug, Mon, 11:04:50 | Google: เหน็บชา | ||
21 Aug, Mon, 12:00:53 | Google: วางมือบนบ่า mp3 | ||
21 Aug, Mon, 12:11:07 | Google: ศิริพร อำไพพงษ์ | ||
21 Aug, Mon, 12:28:37 | Google: การวางแผน | ||
21 Aug, Mon, 12:35:03 | Google: ประวัติ*รักการอ่าน | ||
21 Aug, Mon, 12:42:08 | Google: แสงสุข | ||
21 Aug, Mon, 12:44:12 | Google: ความดันโลหิต | ||
21 Aug, Mon, 12:54:34 | Google: ไบโอดีเชล |
เราก็ตอบสนอง มีบันทึกเนื้อหาเรื่องในแนวนั้นออกมาครับ แม้หลายท่านอาจจะมองว่า การมีบันทึกเยอะๆ เน้นแต่ปริมาณเท่านั้น แต่ประเด็นที่นำเสนอ ยังมีน้อยใน net นายบอนเลยนำมาเติมเต็มเท่านั้น และดูจากสถิติ พบว่า ผู้ที่เข้ามาเปิดดูข้อมูลมาจาก google มากกว่าผู้อ่านใน gotoknow 70 : 30 เลยนะครับ
นายบอนเลยเพิ่มเนื้อหาไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ใส่ใจว่า จะมีใครมาเขียนข้อคิดเห็นหรือไม่ เพราะกลุ่มเป้าหมาย คือผู้ใช้นอก gotoknow ครับ
จริงมาก ๆ เลยค่ะ เพราะตอนนี้กำลังติดอ่าน blog จาก gotoknow ทุกวันเลยค่ะ วันไหนเข้าเน็ทไม่ได้ทำให้หงุดหงิด อารมณ์เสียที่ไม่ได้อ่าน blog ของทุกวันที่ post ^_^