การเปลี่ยนสถานภาพของพื้นที่อนุรักษ์ถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเรื่องหนึ่งทีเดียวครับ...ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อหลายๆ ฝ่ายได้ทั้งในด้านบวกและด้านลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การจัดสรรพื้นที่อนุรักษ์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงท่องเทียวนั้น เป็นไปได้แน่นอนในสถาการณ์ปัจจุบัน ....ถ้าดำเนินการอยู่บนฐานของคำนิยามว่า พอเพียง อย่างที่ได้กล่าวไว้ในบทความข้างต้น...ทำให้เกิดเป็น win-win situation ของทั้งทุกๆ ฝ่าย
ผมคงไม่ได้พูดเองคิดเองแทนชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เหล่านั้น... ผมได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ได้ฟังความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่เพื่อเป็นแห่งท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน [เขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่อาศัยและใช้ประโยชน์จากพื้นที่นั่นโดยตรง มากกว่าเราๆ ท่านๆ ซะอีก]
สำหรับผมคำว่า Conservation ย่อมแตกต่างจาก Preservation อย่างชัดเจนครับ
การรู้จัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยเปลี่ยนมุมคิด ให้เป็น การมองจากข้างนอกมาหาตัวเรา...นับว่าเป็นฐานในการจัดการความขัดแย้งได้ดีทีเดียวครับ
คราวก่อนท่านนายกนั่งเฮลิคอปเตอร์บินผ่านดอยหลวงเชียงดาว เห็นว่าสวยดี
ทำให้เกิดแผนการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้น(ดอยหลวงเชียงดาวก็เป็นเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า)
ใครหลายคนเลยเป็นห่วงว่า ...ตาชั่งมันได้เอียงไปแล้วตั้งแต่แรกเริ่มหรือเปล่า?
อีกข้อคือ อย่างเรื่องพรบ.ป่าชุมชนคนทำงานด้านอนุรักษ์ต่างเข้าใจดี
ว่าคนอยู่ป่า รักษาป่าได้ มีวิถีชีวิตที่กลมกลืนอิงอาศัยไปกับป่า
แต่เค้าเป็นห่วงว่ากฏหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงมันจะเปิดช่องให้คนข้างนอกเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์
ป่าก็จะไม่เป็นป่า..วิถีชิวิตคน กิจกรรมคนก็เปลี่ยนไปด้วยประเทศไทย กฏหมายไทยที่ธรณีสงฆ์ยังกลายไปเป็นที่นายทุนได้
ลองเสิร์ชดูในโลกไซเบอร์มีประกาศขายที่สปก.กันโครมคราม
ทั้งที่จริงแล้วมันมีไว้ “เพื่อเกษตรกรรม”...และต้องตกเป็นมูนมรดกของลูกหลาน
(ข่าวนายกทักษิณเอาไปแจกคนแถวเหนือ-อีสานอยู่เร็วๆนี้
สังเกตภาพข่าวให้ดี เดี๋ยวนี้เอกสารสิทธิ์มีภาพถ่ายทางอากาศประกอบอยู่ด้วย)
เรื่องโครงการเดอะพีค รุกพื้นที่ป่าที่สมุย(ไถดินลงทะเลอีกต่างหาก) ก็เหมือนกัน
น่าเศร้าว่า เรื่องปูดขึ้นมาเพราะเรื่องการเมืองแท้ๆ ไม่ใช่ด้วยคนพื้นถิ่นออกมาเคลื่อนไหว
คงรอดูรอฟังกันต่อไป.----------------------------------------------------------------“การทำแนวกันไฟเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย ใช้แรงคนมาก คนทำงานต้องอยู่ในป่านานหลายอาทิตย์เพื่อถางต้นไม้บางส่วนให้โล่งเตียน ไม่ให้ไฟป่าที่เกิดขึ้นลุกลามออกไป
เขาบอกว่าที่ผ่านมาคนในหมู่บ้านของเขาออกมารับจ้างทางอุทยานฯ ทำแนวกันไฟกันหลายสิบคน ทำงานอยู่ในป่านานมากกว่าที่แนวกันไฟจะแล้วเสร็จ แต่ปัญหาคือ จนป่านนี้ผ่านมานับเดือนแล้ว ยังไม่มีใครได้รับเงินค่าจ้างจากทางอุทยานฯ เลยสักคน
อันที่จริงการเตรียมตัวป้องกันไฟป่าโดยการทำแนวกันไฟเป็นสิ่งที่ควรยกย่อง เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลาม และเป็นการแก้ไขปัญหาไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ที่ผ่านมาหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องมักจะให้ความสำคัญกับการดับไฟป่าที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า
ซึ่งแม้จะรู้กันว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ที่ยังทำกันอยู่คงเพราะการดับไฟป่าเป็นข่าวที่ดึงดูดสื่อต่างๆ ได้ดี
จึงไม่น่าแปลกใจที่เข้าหน้าแล้งทีไร เราจะเห็นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องยกโขยงขี่ช้างจับตั๊กแตนออกไปดับไฟป่าเป็นข่าวใหญ่โต
ทุ่มงบประมาณลงไปสู้ไฟป่าเต็มที่ ราวกับว่าไฟป่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่จะต้องจัดการฆ่าตัดตอนให้สิ้นซาก ในขณะที่จัดสรรงบประมาณเพียงน้อยนิดในการทำแนวกันไฟ
ที่สำคัญ งบประมาณเหล่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะตกถึงมือคนทำงานในพื้นที่หรือไม่
ทุกวันนี้ชาวบ้านที่รับจ้างทำแนวกันไฟหลายแห่งทั่วประเทศกำลังรอเงินค่าจ้างตามสัญญาด้วยความอดทน
แต่หากวันใด ความอดทนของชาวบ้านสิ้นสุดลงพร้อมกับไฟป่าที่ลุกโหม
ก็จงเข้าใจด้วยว่า ใครกันแน่คือผู้จุดไฟป่า" บางส่วนจากบทบรราธิการนิตยสารสารคดีฉบับที่ 244 มิถุนายน 48 ปีที่ 21 http://www.sarakadee.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=507