ณ เย็นวันหนึ่งในระหว่างทางเดินกลับหอพัก ซึ่งเป็นกิจวัตรตามปกติ
ผมได้สนทนากับน้องคนหนึ่ง และได้ยินถึงน้องเขาพูดถึงสิ่งที่เขาเรียนมาในระดับปริญญาว่า มีใจความว่า
"เรียนจบมาแล้วใช้อะไรไม่ค่อยได้ เรียนมาซะเยอะแต่นำกลับไปใช้อะไรไม่ค่อยได้สักอย่าง ที่อยากมาเรียนเพิ่มเพราะอยากจะกลับเข้าไปพัฒนาชุมชนบ้านเกิดตนเอง"
หลังจากที่ได้ฟัเช่นนั้นก็รู้สึกได้ว่า น้องคนนี้รู้ปัญหาและมีอุดมการณ์ดี ถึงแม้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างจะต้องแก้ไขเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องของการจะเข้าไปสอนและพัฒนาชุมชนจะยังมีอยู่บ้าง แต่ก็พอที่จะเยียวยาได้
นับตั้งแต่นั้นผมเองจึงได้เริ่มพยายามที่จะใช้กระบวนการเสริมสร้างและปรับเปลี่ยนแนวความคิดที่จะเข้าไปสอนชุมชนของน้องเขาทีละเล็กทีละน้อย ทั้งการพูดคุยก็ดีหรือการแลกเปลี่ยนใน Blog ก็ดี จนเกือบสัมฤทธิ์ผล
แต่ตอนนี้ปรากฏว่า ผมสู้กับสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวเขามาก ๆ ไม่ไหว
เพราะตอนนี้น้องเขาเลือกที่จะลงไปในปรักที่มีสมาชิกร่วมปรักที่เป็น "คนเก่ง" และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเข้าไปสั่งและสอนชุมชนไปแล้ว (น้องเขาเริ่มเป็น "คนเก่ง" ไปแล้ว)
"เกินเยียวยา" ผมเริ่มใช้คำนี้ได้ตั้งแต่ที่เดินไปคุยและแนะนำเขาในเรื่องการเขียน Blog ด้วยความห่วงใย ตามหลักการเรียนของท่านคณบดีที่ "ให้คนที่แข็งกว่าดึงคนอ่อนกว่า" (แข็ง ไม่ได้หมายความว่าเก่งนะครับ)
แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ถึงกับ "หน้าหงาย" ออกมาจากห้องแทบไม่ทัน
ในขณะนั้นใจหนึ่งก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจที่ต้องเสียคนคนหนึ่งที่พอจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ไปอีกคน แต่ก็ด้วยเหตุเพราะไม่มีความเพียร ความพายามในการเลือกทางที่ลำบากหน่อยพัฒนาตนเอง แต่จะเป็นหนทางไปสู่ปัญญา กลับขอเลือกทางที่สบาย เลือกทางสอน ทางพูดมากกว่าทางปฏิบัติ
ถ้าคิดได้อย่างไรอย่าลืมบอกกันบ้างนะครับ
โอกาสยังมีสำหรับผู้ที่คิดได้และพร้อมที่จะปรับตัวเสมอ
ให้ทุนความรู้อยู่เคียงคู่กับทุนจริยธรรมเสมอไปนะครับอาจารย์ปภังกร