ความชอบธรรมทางการเมือง กับความมั่นคงของรัฐ/กลุ่ม


...ประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือของการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองทุกครั้ง...

ความชอบธรรมทางการเมือง กับความมั่นคงของรัฐ/กลุ่ม

รัฐ หมายถึง กลุ่มคนที่รวมกันอยู่ในดินแดนอันมีอาณาเขตแน่นอน และมีรัฐบาลซึ่งมีอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการดำเนินกิจการของรัฐในประเทศและนอกประเทศโดยอิสระ ดังนั้นรัฐจึงเป็นสังคมที่มีการจัดองค์กรทางการเมืองแตกต่างจากการรวมตัวกันเป็นสังคมแบบธรรมดา ๆ ความหมายของรัฐเน้นในเรื่องการเมือง คือ มีการจัดองค์กรในรูปแบบที่ว่า มีคนจำนวนหนึ่งเป็นผู้ปกครองมีอำนาจเหนือกลุ่มคนทั้งหมด อำนาจของผู้ปกครองนี้อาจได้มาด้วยการใช้กำลัง หรือความยินยอมมอบให้ หรือการยอมรับของคนที่อยู่ในสังคมนั้นทางใดทางหนึ่งก็ได้ คำว่า รัฐ นี้อาจให้ความหมายโดยสมบูรณ์ว่า รัฐประชาชาติ ก็ได้
          องค์ประกอบของรัฐ
          การจัดว่าสังคมเป็นรัฐ หรือรัฐประชาชาติ ตามที่เรียกกันในปัจจุบันนั้น ต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ จะขาดประการใดประการหนึ่งไม่ได้ แต่ละองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้
          1. ประชากร
          2. ดินแดน
          3. รัฐบาล
          4. อธิปไตย

รัฐบาล เป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาความสงบภายใน ป้องกันการรุกรานจากภายนอก จัดการทางเศรษฐกิจ และการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชากรที่อาศัยอยู่ในรัฐ รวมทั้งการดำเนินกิจการของรัฐในทางการเมืองระหว่างประเทศด้วย

รัฐบาลอาจเรียกรวมไปถึงคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายบริหาร ที่ประกอบด้วยบุคคลผู้มีตำแหน่งต่างๆกันหลายคน มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย อันประกอบด้วย หัวหน้าคณะ 1 คน ซึ่งมักเรียกว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอื่น ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ มีอำนาจเรียกประชุม กำหนดเรื่องที่จะประชุม เป็นประธานในที่ประชุม และขอมติจากที่ประชุม ตลอดจนบังคับบัญชา หรือสั่งการในเรื่องต่างๆ

องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญในอดีตกำหนดจำนวนรัฐมนตรีไว้แตกต่างกัน ซึ่งปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา171 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน รวมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่เกิน 36 คน

 “ความชอบธรรมทางการเมือง” หมายถึงอะไร มีตัวชี้วัดอะไรบ้าง

Sternberger (1968) ให้คำนิยามความชอบธรรมว่า “เป็นรากฐานแห่งอำนาจปกครองที่ถูกนำไปใช้ใน 2 นัย ได้แก่ ความตระหนักรู้ในส่วนของผู้ปกครองว่าตนเองมีสิทธิในการปกครอง และการให้การยอมรับต่อการปกครองนั้นของผู้ถูกปกครอง”

Alagappa (1995) อธิบายว่าความชอบธรรมทางการเมืองมีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ ดังนี้

   1.การมีแบบแผนและค่านิยมร่วมกันของคนในสังคม (shared norms and values) การมีแบบแผนและค่านิยมร่วมกันของคนในสังคมที่ผ่านความสืบเนื่องกันมาในเชิง ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นตัวกำหนดประเภทของระบบการเมือง การใช้อำนาจของรัฐ และการยอมรับของประชาชนต่อการใช้อำนาจนั้น องค์ประกอบข้อนี้มีตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับเรื่องความชอบธรรมทางการเมือง ได้แก่

       1)ความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ทางการเมือง (conflict over organizing ideology) หากมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใหม่เกิดขึ้นมาท้าทายอุดมการณ์ทางการเมืองแบบ เดิมที่มีอยู่และสามารถขยายแนวร่วมได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อแบบแผนและค่านิยมที่เป็นอยู่ ซึ่งความชอบธรรมของผู้ปกครองขณะนั้นย่อมถูกลดทอนลงและอาจถึงขั้นเกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมา

        2)การใช้กำลังบังคับให้ทำตามของรัฐหรือ ผู้ปกครองภายใต้ข้ออ้างเรื่อง ความสงบสุขของสังคม (the use of force in securing compliance) โดยแยกพิจารณาออกเป็น 2 สภาวะ คือ ผู้ใช้กำลังต้องมีความชอบธรรมในตนเอง และการใช้กำลังนั้นต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอันมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม มีคำถามเกิดขึ้นว่า การใช้กำลังที่ว่านี้ถือว่ามีความชอบธรรมหรือไม่ เพียงใด คำตอบคือ “ไม่มีคำตอบที่แน่นอนตายตัว (no clear-cut answer is possible)” เพราะมีความแปรผันไปตามบริบท วัตถุประสงค์ และขอบเขตของการใช้กำลัง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการใช้กำลังเพื่อจัดระเบียบสังคมให้เกิดเสถียรภาพ ความชอบธรรมในการใช้อำนาจของผู้ปกครองอาจเป็นไปในเชิงบวกภายใต้สายตาของผู้ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่ถูกใช้กำลังเข้าจัดการ ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ปกครองมีลักษณะยัดเยียดอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับ ประชาชนและใช้กำลังปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรงอันขัดกับเจตจำนงของ ประชาชน ก็อาจได้รับการมองว่าไม่มีความชอบธรรมในการใช้กำลังนั้น ดังเช่นกรณีรัฐบาลทหารพม่า(คล้ายบ้านเราเนอะ)

        3)ระดับการให้การสนับสนุนจากสาธารณชน (degree of public support) หากสาธารณชนออกมามีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการใช้สิทธิเลือกตั้ง การเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มผลประโยชน์และพรรคการเมือง การให้การสนับสนุนยอมรับนโยบายของรัฐบาลและสิ่งที่รัฐบาลขอความร่วมมือในบาง กรณี และการให้ความเชื่อมั่นในความมีประสิทธิภาพของระบบยุติธรรม เช่นนี้ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการมีแบบแผนและค่านิยมร่วมกันของคนในสังคมที่ ก่อให้เกิดมุมมองความชอบธรรมในตัวระบบการเมืองและรัฐบาล ในทางตรงกันข้ามถ้าหากระดับการสนับสนุนจากสาธารณชนมีน้อย ด้วยเพราะมีการขยายตัวของความไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรม การหลีกเลี่ยงไม่ให้ความร่วมมือในคำสั่งหรือการจัดระเบียบของทางรัฐบาล การไม่ให้ความเคารพเชื่อฟังทางการเมือง ความเคลือบแคลงใจ และการมองสังคมในแง่ร้าย เช่นนี้ถือว่ามีผลกระทบต่อการมีแบบแผนและค่านิยมร่วมกันของคนในสังคมที่ก่อ ให้เกิดมุมมองความไม่ชอบธรรมในตัวระบบการเมืองและรัฐบาล

   2.การเข้าสู่อำนาจด้วยการทำตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ (conformity with established rules for acquiring powers) ผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่ก้าวเข้าสู่อำนาจภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถือว่ามีความชอบธรรมในสายตาของคนส่วนใหญ่ในชาติของตน หากเข้าสู่อำนาจด้วยวิถีทางอื่นถือว่าขาดความชอบธรรม อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้อาจใช้อธิบายไม่ได้กับกรณีการเมืองในประเทศกำลังพัฒนา หลายประเทศ เพราะถึงแม้ว่าเกิดเหตุการณ์การได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลชุดใหม่ที่มิได้มา ตามวิถีทางและกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ เช่น การก่อรัฐประหาร แต่ก็ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมว่ามีความชอบธรรมในการได้มาซึ่งอำนาจนั้น โดยรัฐบาลดังกล่าวสามารถเริ่มต้นสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองได้ 2 ทาง คือ ทางแรก ด้วยการอาศัยกรณีเหตุการณ์ทางการเมืองที่เพิ่งผ่านพ้นไปในการสร้างแบบแผนและ ค่านิยมในหมู่ชนให้เกิดการยอมรับในรัฐบาลใหม่ และพยายามลดความชอบธรรมของระบอบเดิมหรือความชอบธรรมของรัฐบาลชุดที่แล้ว ทางที่สอง ด้วยการอาศัยบารมีของผู้นำคนใหม่ จากนั้นในระยะยาวค่อยเสริมสร้างความชอบธรรมให้เพิ่มมากขึ้น

   3.การใช้อำนาจอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ (proper and effective use of power) มีความหมายอยู่ 2 นัย คือ นัยแรกเป็นการใช้อำนาจบริหารประเทศภายใต้กฎเกณฑ์ กระบวนการ และกฎหมาย และนัยที่สองเป็นการใช้อำนาจอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์ส่วนรวม แก่คนในสังคม มิใช่ตกอยู่กับตนเองและพวกพ้อง

    อย่างไรก็ตามเรื่องการทำงานของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจมิได้หมายความ ถึงการขาดความชอบธรรมเสมอไป เนื่องด้วยหากรัฐบาลนั้นบริหารงานล้มเหลว กระบวนการการเลือกตั้งในครั้งต่อไปจะเป็นตัวตัดสิน (ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) แต่เนื่องจากผู้คนมักคิดเชื่อมโยงเรื่องประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาล เข้ากับเรื่องความชอบธรรม จึงทำให้เรื่องประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลกลายเป็นตัวชี้วัดที่เป็น รูปธรรมสำหรับใช้วัดระดับความชอบธรรมของรัฐบาล

   4.การให้ความยอมรับในการปกครอง (consent of the governed) การให้ความยอมรับในการปกครองแตกต่างกันไปตามลักษณะของระบอบการปกครอง ยกตัวอย่างเช่น ในระบอบประชาธิปไตยการให้การยอมรับของประชาชนในการปกครองของผู้ปกครองขึ้น อยู่กับเรื่องของการเปิดกว้างให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และส่วนร่วม ส่วนในระบอบอำนาจนิยมและระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จการให้การยอมรับในการ ปกครองมุ่งไปที่เรื่องการบริหารงานของรัฐบาลว่าบรรลุเป้าหมายและนโยบายที่ แถลงไว้มากน้อยเพียงใด มากกว่าดูที่รูปร่างหน้าตาองคาพยพของรัฐบาล

    อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีใจความตอนหนึ่งว่า “...ในยามที่ประเทศชาติประสบวิกฤต พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามารับผิดชอบบริหารประเทศ เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้ประเทศชาติเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองและ เศรษฐกิจ จากสาเหตุดังกล่าวทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่ามีความจำเป็นต้องเปลี่ยน แปลงการเมือง เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาบริหารประเทศในฐานะที่เป็นรัฐบาล ได้พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยความชอบธรรมจากการดำเนินตามกติกาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการรัฐสภา และกระบวนการยุติธรรม สัญญาณที่บ่งบอกว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินงานต่อไป คือ ผลการเลือกตั้งซ่อมในเดือนมกราคม และผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ...”

   จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้แถลงถึง 6 เดือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ที่โรงแรมเรดิสัน ว่าด้วยเรื่อง “เสวนา 6 เดือน รัฐบาลอภิสิทธิ์ : ล้มเหลวจากที่มาและกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย” (2552) ซึ่งทำให้เป็นปัญหาความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล โดยมีใจความตอนหนึ่งดังนี้

   “...ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองบ่อยนัก แต่ถึงตอนนี้เห็นว่า เป็นโอกาสครบ 6 เดือนของการบริหารรัฐบาลปัจจุบัน น่าจะได้แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผลงานรัฐบาลเสียบ้าง ซึ่งเมื่อก่อนก็เคยวิจารณ์การทำงานของ คมช. ในการติดตามผลงานการทำงานรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งพบว่าขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่ต้องประสบวิกฤตทั้งทางด้าน เศรษฐกิจและการเมือง เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ประเทศไทยประสบวิกฤตหนักหนาสาหัสมากกว่าครั้งใด ๆ ในรอบหลายสิบปี ในการที่จะต้องมารับกับวิกฤตอย่างนี้ และพบว่ารัฐบาลปัจจุบันประสบความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง

รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจากประชาชนในการเลือกตั้ง แต่มาจากการใช้กติกาและกลไกที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเข้ามาเปลี่ยนรัฐบาลที่มา จากการเลือกตั้งมาแทนที่ โดยอาศัยหลายฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาชนมาสนับสนุน จึงเป็นรัฐบาลที่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยผู้ตั้งตัวเองเป็นรัฐบาล มีความเกรงอกเกรงใจมากเป็นพิเศษ จนรัฐบาลนี้ไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเองได้...

   ที่สำคัญ รัฐบาลนี้ยังขาดความสามารถในการบริหาร กำหนดนโยบาย การสั่งการ การประสาน ปรึกษาหารือกับผู้รับผิดชอบงานในด้านต่าง ๆ จะเห็นผู้นำของรัฐบาลหรือคนสำคัญของรัฐบาลจะเน้นการพูด การชิงไหวชิงพริบ รวมถึงคนในรัฐบางส่วนเน้นการทำลายฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะหาทางแก้ปัญหาของ บ้านเมือง...”

   หนึ่งปีก่อนหน้านั้น มีข่าวเรื่อง “ปชป. ชี้รัฐบาลหมดความชอบธรรม” (2551) ถูกนำเสนออกมาในช่วงความเป็นพรรคฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนต่อกรณีเหตุการณ์ทางการเมืองวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า

   “...สถานการณ์ขณะนี้นายสมชายและรัฐบาลยังคงใช้ความพยายามจะอยู่ใน อำนาจต่อไป โดยการใช้วิธีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งไปแล้ว วิธีการดังกล่าวทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น นอกจากการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้วยังโยนบาปตั้งข้อกล่าวหาให้กับผู้ชุมนุม วิธีการดังกล่าวนับเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความแตกแยกรุนแรงมากขึ้น พรรค ปชป. จึงเห็นว่าการอยู่ในตำแหน่งต่อไปของนายกรัฐมนตรีเป็นปัญหาต่อการแก้ไข สถานการณ์ของบ้านเมือง

   พรรค ปชป.เห็นว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีความชอบธรรมอยู่ในตำแหน่งต่อไป และไม่อาจแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้อีกแล้ว สอดคล้องกับความเห็นของอธิการบดี 30 สถาบัน นพ.ประเวศ วะสี และนักธุรกิจ รวมถึงนักวิชาการ ซึ่งต่างเรียกร้องตรงกันว่า นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง...”

   จาก เนื้อความทั้งหมดเฉพาะปี พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2552 ว่าด้วยเรื่องการใช้วาทกรรม “ความชอบธรรมทาง ใน 2 กรณีหลัก คือ กรณีการใช้วาทกรรม “ความชอบธรรมทางการเมือง” เพื่ออธิบายต่อสังคมว่าตนมีความชอบธรรม และกรณีการใช้วาทกรรม “ความชอบธรรมทางการเมือง” เพื่ออธิบายต่อสังคมว่าบุคคลผู้นั้นหรือองค์กรนั้นขาดซึ่งความชอบธรรม โดยประมวลสรุปประเด็นได้ดังนี้

   ปี พ.ศ. 2552

   อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลว่า มีความชอบธรรมจากการดำเนินตามกติกาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการรัฐสภา และกระบวนการยุติธรรม จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงปัญหาความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลว่า เกิดจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ที่มาของรัฐบาลที่มาจากการใช้กติกาและกลไกที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และการขาดความสามารถในการทำงานประยูร ผู้ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองไทย วิเคราะห์ว่า เกิดการแย่งชิงความชอบธรรมทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เพื่อเป้าหมายในการดึงความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนให้โน้มเอียงมาทาง ฝ่ายตน

   ปี พ.ศ. 2551

   พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคฝ่าย ค้านกล่าวว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไม่มีความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่ง เพราะมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงและมีการโยนบาปตั้งข้อกล่าวหาให้กับผู้ชุมนุม ต่อกรณีเหตุการณ์ทางการเมืองวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

   สำหรับ “ตัวชี้วัดความชอบธรรมทางการเมือง” ตามข้อมูลข้างต้น พอวิเคราะห์ว่ามีดังนี้ คือ

    1. การยอมรับต่อการปกครองนั้นของผู้ถูกปกครอง ซึ่งวัดได้จากระดับการให้การสนับสนุนจากสาธารณชน

    2.การยอมรับในที่มาของการเข้าสู่อำนาจของผู้ปกครองด้วยการทำตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่

    3.การยอมรับว่าผู้ปกครองใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างเหมาะสมภายใต้กฎเกณฑ์ กระบวนการ และกฎหมาย

    4.การให้การยอมรับว่าผู้ปกครองใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

    ในทางการเมือง พบว่า “ความชอบธรรมทางการเมือง” เป็นเพียงการใช้วาทกรรมเพื่อสร้าง “ความชอบธรรมทางการเมือง” อธิบายต่อสังคมว่าตนมีความชอบธรรม หรือใช้วาทกรรม “ความชอบธรรมทางการเมือง” เพื่ออธิบายต่อสังคมว่าบุคคลผู้นั้นหรือองค์กรนั้นขาดซึ่งความชอบธรรม ส่วนกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านกำลังช่วงชิงความชอบธรรม ทางการเมืองเพื่อความได้เปรียบทางการเมืองนั้น ถือเป็นกรณีมุมมองเชิงวิพากษ์ที่มองเข้าไปหาฝ่ายการเมืองว่ากำลังทำอะไรกัน อยู่ หรือกำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่เห็นได้ว่า “ความชอบธรรมทางการเมือง” เป็นคำที่ถูกนำไปใช้โดยคนหลายคน กลุ่มหลายกลุ่ม และองค์กรหลายองค์กร เท่านั้น ผ่านผู้มีอำนาจอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งทุกครั้งเหมือนเอาประชาชนเป็นตัวประกันในการกล่าวอ้าง ในการสร้างความชอบธรรมทางการเมือง

   ใน ระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ “ประชาชน ถือได้ว่าตกเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้วาทกรรมนี้ เนื่องจากเป็นผู้ที่ถูกผูกโยงกำหนดให้แสดงบทตัดสินหรือพิพากษาว่าบุคคลผู้ นั้นหรือองค์กรนั้น “มีความชอบธรรม” หรือ “ไม่มีความชอบธรรม”  แต่พบว่าประชาชนจำนวนมากไม่ได้ติดตามรับรู้ถึงข่าวสารความเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือติดตามบ้างแต่ไม่ลึกซึ้งและต่อเนื่อง อีกทั้งยังไม่มีความรู้ความเข้าใจโดยพื้นฐานว่าอะไรคือ “ความชอบธรรมทางการเมือง” เช่นนี้ประชาชนจึงเป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมของการใช้วาทกรรมดังกล่าว

    บ่อยครั้งที่ความชอบธรรมทางการเมือง ถูกนำเพื่อค้ำยัน เพิ่มความมั่นคงแก่ผู้มีอำนาจในรัฐในเชิงของการบริหารจัดการองค์กร และกลุ่มคนที่สนับสนุน และไม่สนับสนุนให้หันกลับมายอมรับในสิ่งที่ตนหรือรัฐต้องการมากกว่าเหตุผลในด้านอื่น และทุกครั้งประชาชนก็จะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกล่าวอ้าง เพื่อสร้างความชอบธรรมของรัฐหรือกลุ่มคนของตน

    ทำอย่างไร ความชอบธรรมทางการเมือง จึงจะเป็นผลในทางเกื้อหนุนระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คงหนีไม่พ้นเรื่องของการสร้างภูมิคุ้มกัน และภูมิรู้ในเรื่องของการเมืองการปกครอง ด้วยการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนแก่ประชาชนให้เข้าใจอย่างมีเหตุผล และรู้เท่าทันพัฒนาการของเหตุการณ์ทางการเมืองของแต่ละช่วงเหตุการณ์ และรู้จักความพอประมาณในการแสดงออก ในการยอมรับและปฏิเสธกระบวนการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองของผู้ที่กล่าวอ้างอย่างสร้างสรรค์และมีคุณธรรม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน รู้จักแยกแยะเรื่องอารมณ์รัก ชอบ โกรธ หลง เกลียด และแค้นส่วนตัวออกจากเรื่องข้อเท็จจริงและเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งจะส่งผลให้ “ความชอบธรรมทางการเมือง” เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างแท้จริง มากกว่าเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความมั่นคงของรัฐหรือกลุ่มคนของตนเท่านั้น


เอกสารอ้างอิง

ปชป. ชี้รัฐบาลหมดความชอบธรรม. (2551). จาก http://www.ryt9.com/s/iq02/ 448200/

เสวนา “6 เดือน รัฐบาลอภิสิทธิ์ : ล้มเหลวจากที่มาและกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย”. (2552).  จาก http://www.pitakthai.com/article/politic/787.html

วีระ  เลิศสมพร. รัฐบาลไทยกับความชอบธรรมทางการเมือง. จาก

http://www.kpi.ac.th/portal/knowledge/article_detail.php?id=68

อภิสิทธิ เวชชาชีวะ. (2552). ความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล : สัญญาณให้บริหารประเทศ

ต่อไป. จาก http://www.abhisit.org/visiondetail.php?cate_id=133

Alagappa, M. (Ed.). (1995). Political Legitimacy in Southeast Asia: The   Quest for Moral Authority. California: Stanford.

Sternberger, D. (1968). Legitimacy. In D.L. Sills (Ed.). International Encyclopedia ofthe Social Sciences. (9), 244. New York: Macmillan.

หมายเลขบันทึก: 449380เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2011 18:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)

หนูว่าการเมืองของไทยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ.....คือเมื่อมีการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ถ้ามีคนไม่พอใจก็ออกมาประท้วงกันอย่างเดียวไม่มีการพูดคุยเจรจากัน......อีกอย่างรัฐบาลไทยน่าจะมีคุณภาพมากกว่านี้มีความเป็นธรรมไม่มีการทุจริตทำงานเพื่อประชาชน....เพื่อเป็นการทำให้ประชาชนได้วางใจให้บริหารประเทศต่อไป

หนูว่านะการเมืองเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และน่าเบื่อ ไม่มีความประนีประนอมกันต่างฝ่ายต่างแย่งยิงแบ่งพรรคแบ่งพวก ......จนทำให้เกิดความขัดแย้งสร้างความรุนแรงให้เกิดแก่บ้านเมือง...ถ้าทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันร่วมไม้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนาประเทศ..ประชาชนคงจะรักและไว้วางใจให้บริหารบ้านเมืองต่อไปได้...^^//

การเมืองก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์......

อยู่ที่ว่าประโยชน์ส่วนนั้นจะตกอยู่ที่ใครก็เท่านั้นเอง.....

.....การปกครองประเทศ เป็นการบริหารเพื่อความมั่นคง.....

....ความมั่นคงจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อ มีส่วนประกอบที่ดี เเละเหมาะสม...

.......................ไม่มากเกินไปเเละไม่น้อยเกินไป.....................^O^

สำหรับหนู "การเมือง" เป็นเรื่องที่หนูไม่ชอบเลย ...เพราะมันไม่มีความมั่นคงทางการเมือง และ "ความชอบธรรมทางการเมือง" หนูอยากรู้ว่ามันมีอยู่จริงเหรอ...? ถ้าการเมืองไทยมีความชอบธรรมทางการเมืองอย่างที่พูดกันอยู่จริง แล้วทำไมการเมืองไทยมันถึงวุ่นวายและน่าเบื่อแบบนี้!!

สำหรับหนูการเมืองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ วุ่นวาย คอยจะชิงดีชิงเด่นกันเพื่อประโยชน์ของตนโดยมิได้นึกถึงประชาชน...ไม่พอใจก็พากันประท้วงจนทำให้ต่างฝ่ายต้องมาทะเลอะกันทั้งๆที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง...ถ้าการเมืองไทยมีความชอบธรรมทางการเมืองประเทศไทยของเราคงจะมีความมั่งคง และเจริญก้าวหน้าไปด้วยความสงบสุข....^_^....//

สวัสดีครับ

คุณกรกนก,ธีรนุช,เกษมณี,นุชศรา และ สุจิตรา

น่าแปลกนะครับที่ "การเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อ" สำหรับเด็กและเยาวชนไปแล้ว ทั้งที่การเมือง น่าจะเป็นเรื่องของการสร้างประโยชน์และความพึงพอใจแก่คนทุกเพศ ทุกวัย

เป็นเรื่องน่าคิดที่คนไทยเรา น่าจะชวนกันคิดต่อว่า

...แล้วเราจะทำอย่างไร "ให้การเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน"..

ขอบใจทุกคนสำหรับคิดเห็นอันบริสุทธิ์ครับ

การเมืองไทยเป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

บางครั้งมีส่วนที่ทำให้ประเทศไทยมีการพัฒนาที่ไม่ต่อเนื่อง

หลายคนหลายความคิด หลาายมุมมอง

คนที่เข้ามามีบทบาท ต่างก็มองเห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองงทั้งนั้นอ่ะ

จนบางครั้งมันเลยทำให้การเมืองไทยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และก็น่าติดตามไปพร้อมๆกันค่ะ

หนูคิดว่าถ้าการเมืองดีสังคมไทยก็จะพัฒนาขึ้นได้แต่ถ้ายังเป็นเหมือนตอนนี้คงไม่มีใครที่เห็นว่าการเมืองไม่น่าเบื่อแม้แต่หนูก็คิดอย่างนั้นเพราะการจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบันมีไว้เพื่ออะไรเพื่อให้สื่อต่างๆไม่ว่างงานเพราะมีข่าวการเมืองออกมาได้ทุกวันหรือมีไว้เพื่อโต้เถียงกันแย่งชิงตำแหน่งต่างๆเพื่อผลประโยชน์ของตนถ้าหากมีรัฐบาลขึ้นมาแต่ไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นแล้วจะให้ประชาชนออกเสียงเลือกตั้งเพื่อ...?หรือเพราะให้รู้ว่าประเทศเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่พอผลสรุปออกมาเมื่อมีอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยก็เกิดการประท้วงมีปัญหาไม่จบสิ้น สุดท้ายเราควรยุดติปัญหานี้อย่างไร

สวัสดีครับ

คุณปนัชดา ในทางการเมืองมีคำกล่าวอยู่ว่า "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร ผลประโยชน์เท่านั้นนิจนิรันดร" ดีครับที่เราควรติดตามและตรวจสอบ

คุณนงลักษณ์ บางครั้งเราจะเป็นการเมืองเป็นเสมือนเกมและของเล่น เพราะเค้าบอกว่า "เล่นการเมือง"

แต่อย่างไรก็ตามการเมืองที่สร้างสรรค์ก็ควร เล่นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งดีที่สุด ครับ เพราะฉนั้นเราคงดูและติดตามบทบาทของนักการเมืองบ้านเรากันดีกว่าใกล้ตัวดี

ขอบใจที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ


การเมืองมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากฉันไม่เคยเข้าใจว่านักการเมืองทำอะไรกันอยู่ หรือว่าอยู่กินเงินเดือนไปวันๆแต่ไม่มีการพัฒนาให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนๆชีวิตก็เหมือนเดิมยุ่งยากกว่าเดิมด้วยซ้ำพอได้ตำแหน่งก็ทะเลาะกันไม่เข้าใจมีพรรคการเมืองเหื่ออะไรดีแต่เอาเปรียบประชาชน

สลิลทิพย์ แก้วเกิด

หนูว่านะค่ะการเมืองเป็นอะไรที่กำหนดอนาคตของเราส่วนหนึ่งเพาระการเมืองเกี่ยวข้องกับเราทั้งสิ้นมันเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับบางคนมันก็คงจะมีบ้างแต่หนูว่าเราต้องสนใจเรื่องนี้ติดตามข่าวเพื่อที่จะได้รู้ว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญเรื่องหนึ่งที่จะต้องรู้ไว้ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงค่ะเพราะอนาคตข้างหน้าไม่มีใครกำหนดได้แต่การเมืองสามารถกำหนดอะไรได้หลายๆอย่างก็แล้วแต่ว่ามันจะเป็นไปยังไงเมื่อการการเมืองเป็นสิ่งที่เราต้องรู้เราก็ควรสนใจมันให้มากๆๆ

หนูก็ว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนนั้นแหละค่ะไม่ว่าใครก็มีส่วนกับการเมืองทั้งนั้นเมื่อถึงเวลา อายุ 18 เราก็ต้องออกไปเลือกตั้ง มันเป็นการใช้สิทธิ์ของเราการใช้สิทธิ์นี้ก็เป็นการที่เราจะเลือกคนที่เราคิดว่าเขาน่าจะนำพาประเทศไปในทางที่ดีและเจริญก้าวหน้าฉะนั้นมันก็คงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องยอมรับและใส่ใจในเรื่องนี้เพราะว่ายังไงก็เป็นเรื่องของทุกคนอยู่ดี

หนูคิดว่าความชอบทำทางการเมืองจำเป็นจะต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นอย่างยิ่งประชาชนต้องเป็นคนกลางเข้ามาตัดสินเพราะประชาชนเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินรัฐแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงกติกาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการรัฐสภา กระบวนการยุติธรรม ที่ไม่มีความคิดเห็นของประชาชนเลยแล้วจะได้คนดีคนเก่งมาบริหารประเทศได้อย่างไรถ้าประชาชนไม่มีโอกาศเลือก...

นางสาวชนากานต์ วงศ์สมศรี

สำหรับหนูคิดว่าการเมืองปัจจุบันไม่น่าเบื่ออย่างที่คนอื่นคิดมันกลับน่าติดตามและค้นหาความเป็นจริง อย่างรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ที่มีการโต้เถียงกันว่าจะทำตามนโยบายไม่ได้ตามที่บอกไว้ จึงทำให้หนูคติดตามต่อไปว่าจะทำได้ตามที่บอกตามนโยบายได้ทุกข้อและเป็นคงดีอย่างที่ประชาชนส่วนใหญ่ไว้วางใจเลือกให้ทำหน้าที่ปกครองประเทศ

นางสาวน้ำอ้อย สำลี

ประเทศไทยในปัจจุบันมีความขัดแย้งทางการเมืองการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการให้ประชาชนได้ใช้สิทธิมนุษยชน นักการเมืองมีความแก่งแย่งชิงดี ชิงความเป็นใหญ่โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือถ้าต่างฝ่ายก็เคารพสิทธิของกันฟังเสียงข้างมากและยอมรับก็อาจจะไม่เิกิดเหตการณ์ดังปัจจุบันที่แระเทศไทยเป็นอยู่ในตอนนี้คือ อารยะขัดขืน ใช้ความรุนแรง มีกลุ่มคนต่อต้าน ดื้อต่อกฏหมายอาญา มีการการประท้วงและไม่ทำตามกฎหมายเพราะเห็นว่ารัฐไม่ได้ใช้กฎหมายอย่างชอบธรรม ถ้าประชาชนคนไหนไม่อยากตกเป็นเครื่องทางการเมืองต้องติดตามข่าวสารทางการเมืองเยอะๆนะครับ

สวัสดีครับ

คุณสรยา สงสัยจะเบื่อการเมืองเข้าแล้วเนอะ

คุณสลิลทิพย์ ถูกต้องครับการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจครับ

คุณรุ้งนภา ก็ถูกต้องอีกแหละครับ

คุณชนากานต์ ก็ถูกต้องอีก ใช่ครับต้องติดตามตอนต่อไป

คุณนภารัตน์ ถูกต้องครับ การเมืองต้องอาศัยการมีส่วนร่วมกัน

คุณน้ำอ้อย ใช่คงต้องติดตามข่าวสารบ้านเมือง ถูกต้องที่สุดครับ

ขอบใจทุกคนครับ

นางสาว ฐนิดา ผาสุข

สำหรับหนู หนูคิดว่า การเมืองเป็นเรื่องของทุกคนนะค้ะ และก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจด้วยเพราะเมื่อเรามีอายุครบ15เราก็ต้องทำบัตรประชาชน เมื่ออายุครบ 18เราก็มีสิทิในการเลือกตั้งและเราก็ควรปฎิบัติตามเพื่อใช้สิทธิและเสียงของเรา การเมืองหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อแต่สำหรับหนูหนูว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจมากและชวนให้ติดตามกับรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะปฎิบัติได้ตามนโยบายที่ว่าไว้หรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น ที่พรรคเพื่อไทยได้ให้นโยบายไว้ว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้วปัญหาน้ำท่วมปัญหาน้ำแล้งจะไม่มี และตอนนี้ก็เกิดปัญหานั้นจริง ๆ ฉันจึงคิดว่ามันช่างน่าสนใจเสียนี่ที่จะติดตามว่ารัฐบาลชุดนี้จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร

ฉัตรมณี พันพรรคดี

หนูคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา บางครั้งดูวุ่นวายและหน้าเบื่อแต่บางครั้งมันก็น่าสนใจและหน้าติดตามเพราะบางครั้งถือว่าอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศชาติก็อาจเป็นไปได้ การเมืองไทย สู้ ๆ และเรื่องของการเมืองจำเป็นที่เราต้องรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเราต้องติดตามข่าวการเมืองค่ะ

หนูคิดว่าการเมืองการปกครองเป็นเรื่องที่วุ่นว่ายเข้าใจยากมีแต่การแย่งชิงอำนาจต่างๆไม่มีความสามัคคีของทั้งทางรัฐและส่วนรวมเลย มีการแบ่งพรรคพวกผู้คัดค้านจนเกิดแต่ความรุนแรงทางสังคม อาทิ เช่น การแบ่งสีของพรรคการเมืองต่างๆซึ่งดูแล้วมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อและไม่น่าติดตามเลย

ประภารัตน์ นุชสำอางค์

หนูคิดว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์แต่

ขึ้นอยู่กับว่าผลประโยชน์นั้นจะตกกับใครและ

คิดว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันเพื่อให้ประเทศชาติดำเนินไปในทางที่ดี

ซึ่งตรงข้ามกับการเมืองของเราใตตอนนี้เลยซึ่งหนูคิดว่ามันวุ่นวายและน่าเบื่อมาก

การเมืองมีแบบแผนและการทำงานที่ซับซ้อนวุ่นวาย สำหรับผมการเมืองก็น่าสนใจ เป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจ เพราะเกี่ยวกับตัวเราทุกคน ข่าวสารก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าขาดการรับชมข่าวสาร ก็อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะรู้เกี่ยวกับเหตุการบ้านเมือง การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันตอด เวลาต้องติดตาม เพราะมีปัญหาเกิดขึ้นมาเกือบจะทุกวินาที จึงจำเป็นต้องหาบุคลากรที่มีความสามารถในการทำงาน ด้านต่างๆเข้ามาช่วยกันทำงานแต่เรื่องของการเมืองเป็นเรื่องที่ท้าทาย ต้องสู้กับสู้กับปํญหาที่เข้ามา

ในสมัยนี้การเมืองมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านต่างก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมาก่อน ดังนั้นเราต้องติดตามการเมืองทุกฝีก้าวเพื่อที่ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของทางรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ส่วนเราจะออกมาทวงสิทธิ์ของเรานั้น ย่อมทำได้เพราะเราเป็นเมืองประชาธิปไตยคับ

การเมืองไทยเป็นสิ่งหลายคนมองว่าเบื่อ ไม่มี อะไร มาก ก็เป็นเเค่ กลุ่มคนสอง กลุ่ม หรือไม่กี่ กลุ่มเท่านั้นเเย่งชิงผลประโยชน์กันเเต่เเท้จริงเเล้วคนไทยเราควรจะหันมาให้ความสนใจกันการเมืองกันมากขึ้นเพื่อประโยชน์ของชาติ เเละร่วมมือ กันตรวจสอบการทุจริตของหน่วยงานของรัฐ ด้วยนะครับ

การเมือง เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก มีหลายสิ่งหลายอย่างซ่อนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ การเมืองสามารถทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้และก้อสามารถทำให้ประเทศล่มจมได้เช่นกัน ปัจจุบันประเทศเรามีการแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกกันอย่างชัดเจน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศชาติไม่พ้ฒนาซักทีเพราะมีผู้นำไม่ดีนั่นเอง ประเทศเรายังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่แต่รู้สึกว่า ณ ตอนนี้เหมือนกับว่าเรากำลังด้อยลงมากกว่าโดยเฉพาะคุณธรรมในแต่ละคนแทบจะหาไม่ได้เรย ฉนั้นเราต้องรู้จักติดตามข่าวสารบ้านเมือง และเป็นพลเมืองดีของสังคม

ผมคิดว่าการเมื่องเป็นเรื่องของผลประโยชน์และมีแย้งชิงผลประโยชน์นั้นและการเมื่องผมคิดว่าเป็นเรื่องที่หน้าเบื่อที่สุดแต่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้และช่วยกันวิเคราะและติดตามข่าวสารว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการหาประโยชน์เข้าเองหรือปล่าว

สะแกวัลย์ วัฒนธรรม

เมื่อพูดถึงการเมือง หนูรู้สึกว่า...

เบื่อ เซ็ง เพราะหนูคิดว่าการเมือง..เป็นเรื่องของการทุจริต..เป็นเรื่องของความขัดแย้ง

...เป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ..แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร พวกเราทุกคนก็หลีกเลี่ยงการเมืองไม่พ้น เพราะการเมืองเกี่ยวข้องกับพวกเราทุกคน^^

กาญจนาทิพย์ เเซ้เอี้ยว

หนูคิดว่าการเมืองไทยในปัจจุบันนี้ รัฐบาลหากจะหาความมั้นคง ก็จะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบที่ดีไม่โกงกินประชาชน เพราะในปัจจุบัญนี้มีหน่วยงานองค์กร มากมายหลากหลาย ที่ตั่งขึ่นมาตรวจสอบ การกระทำของรัฐ รัฐต้องหาความชอบธรรมทางการเมือง คือการใดรับการยอมรับจากประชาชนได้รับการยอมรับการใช้อำนาจการใช้อำนาจบริหารประเทศ ได้รับการยอมรับของประชาชนเป็นสำคัญ หากเเม้มีการกระทำที่ ชอบธรรม หรือขัดหลักการใดที่ทำให้ประชาชนไม่ไว้ใจก็จะสามารถ ทำให้อำนาจการบริหารประเทศสันคอนได้

สำหรับผมคิดว่าการเมืองน่าเบื่อมาก

เพราะมีแต่เรื่องทะเลาะกัน

ไม่หันหน้าเขาหากัน

ถ้าเป็นอย่างนี้ประเทศไทยล้มแน่

นางสาวปภาดา จงปัตนา

หนูคิดว่าการเมืองการปกครองเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก มีแต่การขัดแย้ง แย่งชิง แต่ก็ต้องติดตามข่าวการเมื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้ว แล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป

นายสมพล บางลับแลง 6/1

สำหรับผมการเมืองนั้นมีทั้งน่าเบื่อและก็น่าติดตามเพราะมันก็ทำให้เราทันเหตุการณ์ของบ้านเมืองว่ามีความคืบหน้าแค่ไหนบ้างแต่ในอีกมุมมองหนึ่งผมก็คิดว่ามันน่าเบื่อ เข้าใจยากและดูๆไปแล้วก่มีแต่เรื่องผลประโยชน์การแย่งชิงอำนาจทางการเมืองจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตและทรัพย์สินไม่มีความสมัคคีกันแบ่งพรรคพวก และถ้ายังเป็นแบบนี้ประเทศชาติก็คงไม่ดีขึ้นแน่ครับ

ผมคิดว่าการที่ รัฐของ เรา หรือ ของไครๆ เนี่ย ต้องปัฎิบัติให้ตรง เเละโปร่งใส จึงจะมีความมั้นคง

ทุก ๆ วันนี้ก็ยังมีหลายๆ เรื่องที่ขุนข้องหมองใจอยู่

อ่านมาหลายเวบแล้วก็นะเราเบื่อเรื่องการเมืองจริงๆ บทความนี้บอกว่าปชช.ไม่รู้จักความชอบธรรมแต่เท่าที่อ่านมาหลายๆเวบไม่เคยบอกคนอ่านให้ชัดเจนเลยว่าความชอบธรรมและไม่ชอบธรรมคือออะไรถ้าช่วยบอกจะดีมากๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท