ผมมีโอกาสได้เป็นวิทยากรเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การถอดบทเรียน การเขียนและการสื่อสารเพื่อจัดการความรู้” อันเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเวทีประชุมวิชาการ “1 ทศวรรษสมัชชาสุขภาพ” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2554 ณ โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่
การประชุมวิชาการดังกล่าว จัดขึ้นโดยความร่วมมือของหลายภาคฝ่าย ภายใต้การขับเคลื่อนหลักของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมัชชาสุขภาพล้านนา และภาคีสมัชชาสุขภาพจากทั่วประเทศไทย
กิจกรรมที่ผมรับผิดชอบนั้น ถูกจัดวางให้สร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้นในวันที่ 6 กรกฎาคม 2554 ด้วยวาทกรรมที่มีชื่อว่า “วิชชาการนอกห้อง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรระยะสั้นที่มุ่งให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เกิดแรงบันดาลใจและทักษะในการ “ถอดความรู้ การเขียนและการสื่อสารเพื่อการจัดการความรู้”
ครั้งนี้ผมยังคงเปิดเวทีด้วยกิจกรรม “รู้จักฉันรู้จักเธอ” เพื่อชักชวนให้แต่ละคนได้ทบทวนตัวเอง เป็นการ “ถอดบทเรียนชีวิต” ไปพร้อมๆ กับการ “ทำสมาธิ” เพื่อจัดวางอารมณ์ความรู้สึกให้แต่ละคนมีความพร้อมที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
ถึงแม้สภาพของห้องจัดอบรมจะไม่ค่อยเอื้อต่อการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการนัก แต่ผมก็พยายามมองข้ามในสิ่งเหล่านั้น ด้วยการเคลื่อนตัวให้มากที่สุด ไม่นั่งแช่บรรยาย เสริมเรื่องราวและแรงคิดผ่านวีดีทัศน์สั้นๆ ผสมผสานไปกับการตั้งประเด็นให้แต่ละคนได้คิด หรือสะท้อนความคิดออกมาให้คนอื่นได้ร่วมรับรู้และรับฟังเป็นระยะๆ
ผมดีใจมากที่กิจกรรมที่จัดขึ้นกระตุ้นเร้าให้เกิดการหันกลับมา “ทบทวน” ตัวเองได้อย่างนิ่งสงบ และฉายให้เห็นถึงการ “ดูแล” กันและกันไปในตัว ซึ่งนั่นยังไม่นับรวมกับการเสริมสร้างทักษะของการ “สื่อสาร” ที่ยึดโยงไปถึงเรื่องทักษะการคิด การฟัง การเขียน การวาด ...
ครับ,นั่นคือกิจกรรมเปิดเวทีในแบบที่ผมถนัด ถึงแม้จะใช้เวลาไม่นานนัก แต่ผมก็ดีใจที่ได้รู้ว่าเกือบทุกคนในห้องนั้นได้ทำในสิ่งที่ไม่ได้ทำมาอย่างเนิ่นนาน เพราะบางคนก็ยืนยันว่าสองถึงสามเดือนแล้วที่ไม่มีโอกาสได้วาดรูป หรือแม้แต่ใครบางคนก็ไม่ได้วาดรูปนานเป็นปีเลยก็มี ...
เช่นเดียวกับการได้รับรู้ว่า ใครหลายๆ คนก็เพิ่งมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวอัน “ดีงาม” ของตัวเองไปสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการทะลายกำแพงแห่งความขวยเขินออกไปจากตัวเอง หลังจากเก็บซ่อนไว้เงียบๆ มาอย่างยาวนาน
วิธีการของผม ไม่ได้มุ่งให้ทุกคนบ้าบิ่นในการที่จะยกยอตัวเองเสียทั้งหมด เป็นกระบวนการของการพยายามกระตุ้นให้ผู้คนกล้าพอที่จะสื่อสาร “ความดีงาม” ของตนเองอย่างมี “ศิลปะ” และเสริมแรงคิดในทำนองว่า “เรื่องของเรา ก็อาจเป็นเรื่องเล่าที่มีพลังต่อคนอื่น” ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น การสื่อสารเท่านั้นที่จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือในการนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็เป็นการเปลี่ยนแปลงจากตัวเรา-
ครั้นถึงเวทีในภาคบ่าย ผมก็กลับขึ้นเวทีอีกครั้ง โดยคราวนี้ผมมีเวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งในการบรรยายและฝึกทักษะการเขียนเพื่อการสื่อสาร หรือการเขียนเพื่อการจัดการความรู้
ผมเริ่มต้นง่ายๆ จากการถามทักให้ทุกคนช่วยนิยามความหมายของ “การเขียน” ร่วมกันแบบ “ไม่มีถูก ไม่มีผิด” ! ถัดจากนั้นก็ถามซ้ำใหม่ว่า “ใครเขียนบันทึกประจำวันบ้าง” ?
ถัดจากนั้นก็สะท้อนโครงสร้างของการเขียนหลักๆ อันประกอบด้วย ความนำ (lead/intro) เนื้อเรื่อง (body) ความจบ (ending) ซึ่งดูเหมือนจะออกแนววิชาการสักหน่อย
แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็พยายามสื่อสารในลักษณะของการ “เล่าเรื่อง” ให้ได้มากกว่าการ “บรรยาย” เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความผ่อนคลายในทางเนื้อหาที่ผมกำลังสื่อสารออกไป พร้อมๆ กับการยึดโยงไปสู่ขั้นตอนการเขียนที่ประกอบด้วย ขั้นเตรียม (preparing) ขั้นการเขียน (Writing) และขั้นตรวจแก้ (editing) ตลอดจนเรื่อง “คุณลักษณะของการเขียนเพื่อการจัดการความรู้ที่ดี” ที่ประกอบด้วยสาระหลัก ดังนี้
เสร็จจากภาคทฤษฎี ก็ได้เวลาของการฝึกการเขียนเชิงปฏิบัติการ ซึ่งผมจัดเตรียมกระบวนการหลักๆ ไว้ 2 กระบวนการ นั่นก็คือการเขียนเชิงปัจเจกบุคคลที่มุ่งให้แต่ละคนได้เขียนแบบ “ออโตเมติก ไร้ติ้ง” (automatic writing) และเขียนเรื่องร่วมกันในเชิงกลุ่ม แต่พอดูเวลาที่มีเหลืออยู่ จึงจำต้องตัดกระบวนการเขียนเชิงกลุ่มออกไป
การเขียนแบบ “ออโตเมติก ไร้ติ้ง” เป็นการเขียนอย่างต่อเนื่อง หรือเขียนไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องยกปากกาขึ้นจากกระดาษ โดยเรื่องที่ให้เขียนนั้น ผมก็ย้ำให้แต่ละคนได้เขียนใน “เรื่องที่อยากจะเขียน” ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นมาแล้วในชีวิต หรือเรื่องที่กำลังพบเห็น หรือเผชิญอยู่ตรงหน้า
การเขียนในทำนองนี้ ผมเชื่อว่าจะช่วยให้ผู้เขียนทะลายกำแพง “ความกลัว” ที่มีต่อการเขียนลงได้บ้าง เพราะการเขียนในแนวนี้ไม่ต้องขัดเกลาอะไร เขียนแบบสดๆ ไม่มีถูกไม่มีผิด...
และที่สำคัญก็คือในตอนท้ายนั้น ผมได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ลุกมาอ่านเรื่องราวที่เขียนให้เพื่อนๆ ฟัง ซึ่งไม่เน้นการวิพากษ์ใดๆ แต่เน้นกระบวนการของการเสริมสร้างให้กล้าคิด กล้าเขียนและกล้าเสนองานเขียนต่อสาธารณะ
นอกจากนั้น ผมยังหยิบยกการเขียนในรูปแบบสั้นๆ เหมือนการจดบันทึก หรือเขียนความคิดรวบยอดมาเป็นตัวอย่าง เช่น การเขียนคล้ายลำนำสั้นๆ หรือการเขียนในลักษณะเดียวกับ “ไฮกุ” อันเป็นบทกวีของชาวญี่ปุ่น ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าผู้ฟังให้ความสนใจและตื่นตัวอยู่ค่อนข้างมาก
ก่อนเวทีปิดตัวลง ผมได้รับรู้ว่านี่คือครั้งแรกของใครบางคนที่ฟังบรรยายแล้วเกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะเขียน หลังจากไม่กล้าที่จะ “เขียนงาน” มาหลายปี ซึ่งบางคนยืนยันว่าไปฟังบรรยายเรื่องการเขียนมาครั้งสองครั้ง แต่ไม่เกิดมีแรงใจและความมั่นใจที่จะ “เขียนงาน” เลย หากแต่ครั้งนี้กลับรู้สึกว่าได้เวลา “ลงมือเขียน” ซะที
เฉกเช่นกับอีกคนก็บอกเล่าว่านี่คือครั้งแรกที่เขียนเรื่องราวได้ยาวนานและไหลลื่น และเห็นทิศทางของการเขียนให้มี “ชีวิต” รวมถึงเห็นคุณค่าของงานเขียนที่มีต่อการพัฒนาตนเอง พัฒนางานและองค์กร หรือแม้แต่สังคม มิหนำซ้ำงานที่เขียนออกมาก็ยังเป็นเสมือน “จดหมายเหตุชีวิตและองค์กร” ได้เป็นอย่างดี
ครับ,แค่ฟังแค่นี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ แต่การมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ใครสักคนเชื่อและศรัทธาต่ออำนาจแห่งการเขียนได้นั้น ผมถือว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง !
ที่เหลือก็คงต้องเรียนรู้กันอย่างจริงจังและต่อเนื่องกระมัง เพื่อยกระดับการเขียนสู่การเป็นหนึ่งใน “วัฒนธรรมของการใช้ชีวิต”
สำหรับผมแล้ว ผมอยากให้เวทีทำนองนี้มีเวลามากกว่านี้จริงๆ จะได้ฝึกการเขียนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อเติมพลังให้ “กล้าที่จะเขียน” และ “กล้าที่จะเสนองานเขียน” อย่างสร้างสรรค์ทั้งต่อตนเองและองค์กรต่อไป
ครับ, นี่คือคำบอกเล่าโดยสังเขปที่ผมนำเสนอและร่วมเรียนรู้จากเวที “วิชชานอกห้องเรียน : 1 ทศวรรษสมัชชาสุภาพ”
...
๑๐ กรกฎาคม ๕๔
เชียงราย-
สวัสดีค่ะ
ดีใจที่ได้อ่านสาระที่เป็นประโยชน์ เป็นเรื่องที่มีคุณค่าค่ะ
ปลอดภัยดี
ไม่มีพิษภัย
หัวใจปกติ
อิ อิ นะครับ ;)...
พี่พนัสคะ
พรุ่งนี้หนูจะจัดอบรมการใช้งานบล็อกให้แก่ชาว share.psu และก็ได้ลองออกแบบกระบวนการสร้างแรงบันดาลใจในการเขียนไว้สัก 1.30 ชั่วโมง เอาแบบสั้นๆ เพราะงานนี้เน้นการใช้เครื่องมือในการจดบันทึกผ่านเทคโนโลยีเพื่อแชร์กัน แต่หากเราเน้นแต่เครื่องมือและมองข้ามเรื่องการเขียนไป มันก็เหมือนได้แต่เปลือกและขาดใจความสำคัญของการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ไป ซึ่งก็คือการเขียนเพื่อสื่อสารความคิด เพื่อเปิดโอกาสและความคิดของตัวเองออกสู่สาธารณะค่ะ
พรุ่งนี้ก็คงจะเปิดคลิป vdo ที่ี่พี่พนัสได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ GotoKnow ด้วยค่ะ เพราะสิ่งที่พี่เล่านั้นคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่ถูกขัดเกลามาจากประสบการณ์จริงค่ะ ^_^
อ๋อ...ลืมบอกว่า อ่านบันทึกของพี่แล้ว ได้เรียนรู้และคงได้ใช้ประโยชน์ในวันพรุ่งนี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
มารับความรู้นี้ไปเต็มๆค่ะ
".....กล้าที่จะเขียน
รักและศรัทธาต่อการเล่าเรื่อง
เขียนในเรื่องที่รู้และอยากรู้
อดทนต่อการทำงานหนัก (ฝึกฝนต่อเนื่องและเปิดใจรับข้อวิจารณ์)
มีความรับผิดชอบผลงานและเคารพผลงานผู้อื่น....."
จะนำไปใช้ค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ
บันทึกของพี่เป็นแรงบันดาลใจของแป๋มค่ะ..
ขอแก้ไขเปลี่ยนภาคี จาก "มรภ.เชียงใหม่" เป็น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครับ