การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืชดอกและการขยายพันธุ์พืช
พืชดอกนอกจากจะสืบพันธุ์โดยใช้เมล็ดซึ่งเป็นวิธีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแล้ว ยังมีการสืบพันธุ์
ุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น การแตกหน่อของขิง ข่า ใช้ใบ ตา เช่น ต้นตายใบเป็น
ใช้ราก เช่น มันเทศ เป็นต้น มนุษย์ได้นำความรู้จากการสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศของพืชต้นใหม่
่ที่มีลักษณะเหมือนต้นเดิม ไม่กลายพันธุ์รวมทั้งไห้ดอกและผลเร็วขึ้น แต่การขยายพันธุ์โดยวิธีนี้จะไม่มีรากแก้ว
ทำให้ระบบรากไม่แข็งแรง
ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีชีวภาพในการเนื้อเยื่อพืช มาใช้ในการเกษตรอย่างแพร่หลาย เช่น
การขยายพันธุ์พืชเพื่อให้ได้ต้นพืชจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น และมีลักษณะเหมือนพันธุ์เดิม
ซึ่งประสบผลสำเร็จกับพืชเศรษฐกิจหลาย ๆ ชนิด เช่น กล้วยไม้ ไม้ตัดดอกอื่น ๆ กล้วย สตรอเบอรี่
นอกจากนี้การเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชยังมีประโยชน์ในการผลิตพืชที่ปลอดโรค การสร้างพืชสายพันธุ์แท้
การเก็บพันธุ์พืชเพื่อการอนุรักษ์ ฯลฯ ส่วนทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม สามารถทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อพืช
สร้างสารเคมีที่ต้องการได้
การขยายพันธุ์พืชโดยการเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
การเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นการนำเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ เนื้อเยื่อ เซลล์
แม้กระทั่งโพรโทพลาสต์ ( เซลล์พืชที่ปราศจากหนังเซลล์ ) มาเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ ชิ้นส่วนของพืช
ที่นำมาเลี้ยงเหล่านี้จะเจริญไปเป็นราก ลำต้น หรือเจริญเป็นแคลลัส ( callus ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเซลล์
์พาเรงคิมา กลุ่มเซลล์นี้จะเจริญต่อเนื่องจนได้แคลลัสขนาดใหญ่ที่สามารถชักนำให้เปลี่ยนไปเป็นลำต้นหรือ
รากได้ ระยะนี้อาจแบ่งเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยแยกไปเลี้ยงในอาหารใหม่ ซึ่งเมื่อได้จำนวนต้น
ในปริมาณที่มากพอแล้ว ก็สามารถที่จะย้ายปลูกได้
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการทำเมล็ดเทียม ( artificial seed ) เพื่อใช้ในการขยายพันธุ์พืชบางชนิด
เช่น ข้าว แครอท ยาสูบ หน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งการผลิตเมล็ดเทียมนี้พัฒนามาจากหลักการเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
โดยการนำเซลล์ของพืชที่เจริญมาจากการเลี้ยงเนื้อเยื่อมาชักนำให้เป็นเอ็มบริโอ ( embryo )
แทนเอ็มบริโอที่เกิดจากการปฏิสนธิเอ็มบริโอนี้จะนำมาห่อหุ้มด้วยสารอาหารที่ทำหน้าที่แทนเอนโดสเปิร์ม
และมีสารเคลือบอยู่ภายนอก
การวัดการเจริญเติบโตของพืช
การวัดการเจริญเติบโตของพืชสามารถวัดได้หลายวิธี เช่น ความสูง จำนวนใบ ขนาดของใบ เส้นรอบวง
มวล ฯลฯ
พืชมีการเจริญเติบโตช้าหรือเร็วนั้น มีวิธีการวัดได้หลายวิธี เช่นการวัดมวล หรือน้ำหนักสดของพืช
เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด แต่ผลที่ได้ อาจไม่บ่งถึงการเพิ่มขึ้นของชีวมวลที่แท้จริงทั้งหมด
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเกิดจากเซลล์เก็บสะสมน้ำไว้ในปริมาณมาก ๆ จนเซลล์เพิ่มขนาด
ส่วนการชั่งน้ำหนักแห้งที่แท้จริง วิธีนี้ทำให้พืชตาย ดังนั้นพืชที่ใช้วัดจึงต้องปลูกจำนวนมาก
แล้วสุ่มตัวอย่างมาเพียงบางส่วนเพื่อเป็นตัวแทนของพืชทั้งหมดในระยะเวลาต่าง ๆ กัน
นำมาเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตที่เพิ่มขึ้น แล้วจึงสรุปได้ว่าพืชนั้นมีการเจริญเติบโต
การวัดความสูงของพืชก็เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมกันมากเช่นเดียวกับการวัดมวลเพราะวัดได้สะดวก
แต่มีข้อควรระวัง คือพืชบางชนิดมีความสูงจำกัด แต่กิ่ง ตา ดอก ผล และขนาดของลำต้น
สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่น ๆ เช่น การนับจำนวนใบ การนับวงปี การวัดเส้นรอบวง
การวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง เป็นต้น ซึ่งวิธีการใดจะดีที่สุดย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด
การเจริญเติบโตของพืชตั้งแต่งอกออกจากเมล็ดจนโตเต็มที่ ออกดอก ออกผล มีลักษณะคล้ายกับ
กราฟการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตทั่ว ๆ ไป สามารถเขียนกราฟของการเจริญเติบโตเป็นรูปตัว S
( S – shaped curve )
จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า พืชดอกมีดอกซึ่งเป็นโครงสร้างที่เหมาะสมต่อการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ดอกของพืชแต่ละชนิดมีโครงสร้างดอกที่แตกต่างกัน มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
เมื่อเกิดการปฏิสนธิซ้อนแล้วจะได้ไซโกตและเอนโดสเปิร์ม ซึ่งไซโกตจะเจริญไปเป็นเอ็มบริโออยู่ในเมล็ด
ถ้าสภาวะแวดล้อมเหมาะสม เมล็ดจะงอกได้และเจริญเติบโตต่อไป เมล็ดพืชบางชนิด แม้อยู่ในสภาวะแวดล้อม
ที่เหมาะสมก็ไม่สามารถงอกได้ ต้องมีระยะเวลาปรับสภาพภายในเมล็ดก่อนจึงจะสามารถงอกได้
เมื่อเมล็ดงอกเป็นต้นแล้วสามารถวัดการเจริญเติบโตของพืช แล้วนำมาเขียนเป็นกราฟ ซึ่งจะได้กราฟรูปตัว S
เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่ว ๆ ไป
ไม่มีความเห็น