ถึงวันแม่ผมนึกถึงความรู้สึกหนึ่งที่เคยเสียใจในอดีต ที่เป็นเด็กเกเรโกหกแม่ แต่ก็เป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่ากับตัวเอง เป็นคติสอนใจอยู่เสมอ
ปีนั้นผมยังเรียนชั้นประถมปลาย แม่เอาตังก์ให้ผม 6 สลึง (ในช่วงนั้นน้ำมันเบนซินลิตรละ 2 บาทพอดีครับ) แม่บอกว่าให้ไปตลาดและซื้อน้ำตาลทรายมาให้ด้วย เงินที่เหลือก็ซื้อขนมกิน ผมดีใจมากครับเพราะจะได้ไปเที่ยวตลาดและได้ขี่จักรยานไปไกลๆ เพราะถ้าไปเที่ยวเฉย ๆ พ่อ และ แม่ไม่ให้ไปเด็ดขาด ผมจับจักรยานโบราณคันโตของพ่อ ซึ่งก็ไม่เหมาะสมกับร่างกายของผมเท่าไหร่ เพราะมันโตมากเป็นประเภทบรรทุกของได้เยอะ ๆ แต่ก็สนุกดีได้ขี่จักรยานเล่น จริง ๆ ขายังถีบไม่ถึง แต่ความซนของผมก็พยายามขี่มันให้ได้ ขี่ลัดเลาะไปตามคันนา ตกคันนาไปบ้างแรก ๆ เพราะบางแห่งเป็นร่องทางน้ำ ล้อหน้าปีนขอบทางรถเสียหลัก ตั้งเป้าหมายว่าถึงวัดซึ่งถือเป็นระยะทางครึ่งหนึ่งจะหยุดพัก ทางผ่านไปช่วงเช้า ๆ อากาศดีมากครับ เพราะใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวรวงข้าวเริ่มเปลี่ยจากเขียวเป็นเหลืองอร่ามเต็มทุ่งเหมือนทะเลมองสุดลูกหูลูกตา หมอกเริ่มจางมองไปได้ไกลเรื่อย ๆ เมื่อดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เปล่งแสงจ้าขึ้น ขี่จักรยานไปก็สูดหายใจยาว ๆ ตามที่ครู(โรงเรียนบ้านนอก)เคยสอนไว้เจออากาศบริสุทธิ์ให้สูดหายใจยาว ๆ จะทำให้สดชื่น
ผมถึงจุดพักตามที่วางแผนไว้ตรงหน้าวัด ช่วงนี้มีงานบุญในวัด นอกวัดก็มีคนล้อมวงอยู่หลายวง ผมจอดจักรยานพิงไว้กับต้นไม้ เดินเข้าไปดูได้รู้ว่าเป็นวงการพนันเสี่ยงโชคเล็ก ๆ เล่นกันแบบสนุกสนานกับเศษตังก์ คือวงไฮโล(บ้านผมเรียก"อีฟัด") บางวงเป็นรูป ปลา กุ้ง ปู ได้ยินเขาเรียก "อีกุ้ง อีปลา" ผมเดินดูหลาย ๆ วง เห็นบางคนได้เงินบางคนก็เสียเงิน ผมสนใจดูคนที่ได้เงิน วางลง 1 บาท ได้กลับมา 2 บาท บางครั้งวางลง 1 บาท ได้มาเป็น 6 บาท ผมเริ่มสนใจ ตัดสินใจอยู่นานผมมีความรู้สึกว่า มีตัวตนผมเป็นสองคนในตอนนั้น คือ คนที่กล้ายากลองเสี่ยงเล่น กับคนที่รู้สึกรับผิดชอบและไม่กล้า แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กับคนกล้า ผมหยิบเหรียญสองสลึงวางลงไป ใจนั้นเต้นเร็วระทึกมือไม้สั่น เมื่อเจ้ามือเปิดของเขา ปรากฎว่าผมได้เงินเพิ่มมาเป็น 1 บาท ผมทำอยู่เรื่อย ๆ เริ่มชินความตื่นเต้นค่อย ๆ หายไป กลับเป็นความตาโตอยากได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และผมสามารถทำเงินจากการพนันได้มา 6 บาทแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเยอะมาก ๆ ในตอนนั้น เพราะขนมจีนจานละ 2 สลึง น้ำแข็งถุงละ 1 สลึง ความไม่พอของผมทำให้ผมเสียเงินหมดกระเป๋าครับ
ความทุกข์ ความสับสนเริ่มเข้ามาในความรู้สึก กลัวแม่เสียใจ จับรถถีบกลับบ้านด้วยความสับสน และคิดหาทางออกโดยวางแผนต้องโกหกแม่ไม่งั้นแม่ต้องเสียใจอย่างมาก(แปลกครับที่ผมไม่คิดว่าจะถูกตี) แต่ผมกลับคิดว่าแม่จะเสียใจ ผมหมดแรงถีบรถไม่ไหว จูงรถกลับบ้านเมื่อถึงบ้านไปบอกแม่ในครัวว่ากระเป๋ากางเกงรั่ว ตังก์หล่นหายหมด แทนที่แม่จะตกใจกลับลูบหัวผมและถามไปถึงไหนดูเถอะเหงื่อโทรม ช่างเถอะไม่ต้องกลับไปหรอกเพราะแดดร้อนแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย ความรู้สึกผมตอนนั้นบรรยายไม่ถูกรีบวิ่งไปสวนยางพาราหลังบ้าน ได้ยินเสียงแม่ถามตามหลังว่าไปไหน และอย่าไปนานเดี๋ยวมากินข้าว ผมวิ่งไปไกลจากบ้านแล้วปล่อยโฮ น้ำตาไหลเป็นสายน้ำสับสนวุ่นวาย เสียใจการกระทำของตนเอง เมื่อร้องไห้จนเพียงพอ ความรู้สึกความรับผิดชอบก็เกิดขึ้นในใจ ผมเริ่มทบทวนคำสอนของแม่ ของพ่อ ว่า "การทำชั่วนั้นทำได้ง่าย ถ้าใจเราไม่แข็งพอ และแพ้ใจตัวเอง"
ผมให้สัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้น จะไม่ข้องเกี่ยวกับการพนัน จะตั้งใจทำดีไถ่บาปที่ทำวันนั้น ด้วยการตั้งใจเรียนหนังสือ และตั้งเป้าหมายว่าถ้าเรียนจบแล้วและมีงานทำจะเล่าให้แม่ฟัง และผมก็ถึงเป้าหมายที่วางไว้ วันที่ผมเล่าให้แม่ฟังเมื่อ 5 ปี ที่แล้วแม่หัวเราะ แต่น้ำตาแม่ก็ไหล และพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่าดีแล้วลูก
รักแม่มาก ๆ ครับ
กราบเรียน ท่านรองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
ขอบพระคุณครับ ท่านรอง ฯ ไพโรจน์ ลิ้มจำรูญ ที่กรุณาให้ข้อคิดเพิ่มเติม เป็นขวัญกำลังใจอันสูงส่ง ครับ
เรียน คุณศุภลักษณ์
ขอบคุณมากครับ ติดตามบันทึกของคุณศุภลักษณ์อยู่เสมอครับ