ตลาดนัดความรู้กรมอนามัย ... AAR (48) ปิดตลาด ตอนที่ 5


กรมวิชาการ คือ กรมที่มีหน้าที่เอาความรู้ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่กรมทำวิจัย

 

AAR ที่ขาดไม่ได้ คือ คุณหมอสมศักดิ์ ประธาน KM ของกรมอนามัยนะคะ ... Immediate AAR ผมให้ศรีวิภาทำ เพื่อให้มาอยู่ข้างหน้าบ้างนะครับ ศรีวิภาก็จะสะท้อนความเป็นพวกเราให้เห็น เพื่อยืนยันในสิ่งที่ผมพูดเมื่อสักครู่ ก็คือ ทุกคนมีกระเป๋าโดเรมอนอยู่ในตัว ก็คือให้ควักใช้บ่อยๆ ก็ได้ ก็ต้องจับโยนลงน้ำกันบ่อยๆ พวกเราจะได้ควักมาใช้กัน

... 2 ปีที่ผ่านมา กรมอนามัยกับ KM ก็อาจใช้ประเด็นนี้ก็ได้ ผมถามตัวเองเหมือนกันว่า ผมควรจะทำอะไรบ้าง เพราะผมเป็นประธาน KM ผมปวารณาตัวเองไว้ว่า ผมเลือกงานวิชาการ เพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์ทั้งการพัฒนาองค์กร และตัวงาน พอมี KM เข้ามาก็บอกตัวเองว่า ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะว่าผมพูดมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้ไปอยู่ สวรส. ผมเข้าใจว่ากรมวิชาการ คือ กรมที่มีหน้าที่เอาความรู้ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่กรมทำวิจัย ก็เอาความรู้ที่สั่งสมมาเรื่อย พิสูจน์สมมติฐานมาชัดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าใครเคยไปอ่านหนังสือ ที่เขาแกะที่ผมพูดตอนมาอยู่ที่กรมอนามัยใหม่ๆ ที่กองแผนฯ ทำแจก ลองไปอ่าน และเทียบกับที่เราทำเรื่อง KM วันนี้ ก็จะพบว่า ผมเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่อง KM ไปเยอะ สมัยนั้นก็จะเป็นการจัดการความรู้เป็น explicit knowledge วันนี้เราจะมาเน้นเรื่อง tacit knowledge

อย่างที่สองที่ผมได้จากการทำงาน ก็ไม่ได้คาดหวัง ในการทำงาน KM กับพวกเราที่กรมอนามัย คือ confirm ชีวิต ผมรู้มาตั้งนานแล้ว มีประโยคที่ผมอ่านเจอตั้งนานแล้ว ผมไปพูดกับพวก HR ที่อยู่ กพร. ว่า ตอนช่วงมัธยมปลาย ไปเจอประโยคหนึ่ง “กาลิเลโอบอกว่า You cannot teach a man to learn anything. You can only help him remind with himselves.” หมายความว่า ไม่มีใครสอนใครได้หรอก สิ่งที่จะทำได้คือ ทำให้เขาค้นพบความรู้สึกในตัวของเขาเอง อ่านตอนนั้นยังไม่รู้ ยังไม่ได้ศึกษามากมาย ตอนหลังคุยกับ อ.ประเวศ ก็ทำให้รู้ว่า ความเชื่อพื้นฐานในศาสนาพุทธ พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ทุกคนมีความเป็นพุทธะอยู่ในตัว สิ่งสำคัญคือ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่ฝึกได้ แต่ต้องฝึก พูดง่ายๆ คือ ความเป็นพุทธะในตัวเรามันจะไม่งอกงาม ถ้าไม่ฝึก ไม่พัฒนา ไม่เอามาใช้ มันมีอยู่ทุกคน เพราะฉะนั้นเด็กจึงเรียนภาษาได้ เรียนการเดินได้ ท่านเจ้าคุณประยุตต์ ท่านก็พูดว่า สัตว์นี่เกิดปุ๊บเดินได้ปั๊บ แต่มนุษย์นี่เกิดกว่าจะเดินได้ต้องฝึก และการฝึกการเดินของเด็กก็ไม่มีใครไปสอนว่า ก้าวเท้าซ้ายกี่เซ็น เท้าขวากี่เซ็น ก้าวเท้าซ้ายไปสูงเท่าไร และยกเท้าขวาตาม อย่ารีบยกเท้าขวาเร็วเกินไป เพื่อไม่ให้มันหกล้ม เพราะขาทั้งสองข้างจะพ้นพื้น ไม่มีใครรู้ เราไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่า เรายกขาแบบไหน เพื่อไม่ให้ขาสองข้างพ้นพื้นพร้อมๆ กัน ยกเว้นเวลาวิ่ง เวลาเดินลงบันไดก็ไม่รู้

พวกเราก็รู้ว่าร่างกายมนุษย์ต้องจัดการมาก เราเรียนรู้เรื่องของการทำทั้งนั้นแหล่ะ มีหลายคนเขาไม่เชื่อ ว่าความรู้ที่มันเป็นความรู้ abstract มันรู้จากการทำงานก็ได้ ผมเองโดยส่วนตัวจะบอกเสมอว่า ทำงาน KM มา 2 ปี มัน confirm ว่าพวกเรามีพลังเหลือเฟือ พลังสมอง พลังใจ พลังกายไม่ต้องไปพูดถึง เหลือเฟือเลย อยู่ที่จะเอามาใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ... ก็ดีใจที่ทำให้ตัวเองได้ความรู้ พลังที่มันออกจากพวกเราเวลาที่มาพูดคุยกัน อย่างน้อยก็ได้เห็นทุกคนทำเพราะว่ามันมีคุณค่า ไม่ได้ทำเพราะว่าต้องทำ อันนี้ก็ดีใจมากจริงๆ

ตอนรับ KM ใหม่ๆ ก็กลัว ไม่เป็นไรน่า อย่างน้อยทำให้ทุกคนเชื่อว่า KM มีประโยชน์ก็เอาละ แต่ว่าก็ได้มากกว่าเยอะ ผมคิดว่า เป็นเพราะทุกคนพร้อม ทันทีที่มีคนเปิดโอกาสให้เรา ก็คุยกับพี่นันทา และคุณศรีวิภา ไว้ว่า หน้าที่ของเราคือ ทำให้พวกเราทุกคนได้มีสิ่งแวดล้อมที่ innovate วิธีหนึ่งก็คือ ไปบอก กพร. ว่า อย่ามายุ่งมาก เขาก็เชื่อ คุณศรีวิภาก็มีความมุมานะในการที่จะทำให้ กพร. ฟังพอสมควร ไม่ต้องมายุ่งกับเขามาก ก็ทำแผนจนได้คะแนนเต็ม ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเรา เขาฉลาดพอที่จะวัดผลที่เกิดขึ้นได้ ที่พูดทั้งหมดนี้ก็คือ จะบอกว่า พวกเราทำเพราะอะไรผมไม่รู้ ทำเพราะความกลัวหรือเปล่า ผมไม่รู้ ทำเพราะศรัทธามากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ ทำเพราะอยากลอง เป็นธรรมชาติส่วนตัวเพราะว่าความอยากรู้อยากเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทั้งหมดนี้ในที่สุดมันก็ถูกตอกย้ำด้วยความจริง ของจริงคืออยากรู้ ความมีคุณค่าของ KM อย่างที่ผมเข้าใจว่าทุกคนได้ ไม่ใช่ความรู้ที่เราสะสมมา แต่เราอยากเห็นความรู้ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆ ...

ถ้าถามว่า อะไรที่มันอยากเห็น และอะไรที่ไม่ได้คาดว่าจะเห็น อันหลังนี่ใช่ และผมอยู่กับเรื่องหลักความรู้ ใช้ความรู้วิจัย อยู่มาหลายปี ผมก็รู้สึกตลอดเวลาว่า เออ จริงนะ การที่เข้าไปทำงานเกี่ยวกับเรื่องความรู้ และการเรียนรู้ มีพลังมาก เราพยายามบอกว่า เราจะเอาการวิจัยไปปรับใช้กับงานประจำ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น คล้ายๆ กันหมด คือ ถ้าทำด้วยความตั้งใจ ไม่ได้ทำเพราะความถูกบังคับ ทำเพราะความอยาก ความเชื่อว่ามันใช่ สักพักจะพบว่า มันเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีมอง ไปสู่การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ก็หวังว่าทุกคนจะทำ KM ไปถึง mission เลยนะ คือ ไม่ใช่เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรในการทำงาน

ขอบคุณทุกคนที่ทำให้มีวันนี้ และจะทำให้มีอนาคตที่ดีครับ

 

หมายเลขบันทึก: 44423เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2006 08:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท