ก่อนอื่นต้องขออภัยอาจารย์หมอเป็นอย่างยิ่งครับที่ตอบคำถามข้อที่ 4 และ 5 ช้ากว่าคนอื่น ๆ ครับ
เพราะเป็นข้อคำถามที่หนักใจมากที่สุดเลยครับ จนผมเองต้องกลับมานอนคิดอยู่หลายตลบว่าจะตอบอาจารย์หมออย่างไรดีครับ
สิ่งที่ต้องทำให้กลับมานอนคิดก็คือ คิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดี จะตอบความจริงดีไหม จะตอบจริงทั้งหมด ตอบจริงบ้างไม่จริงบ้าง หรือตอบแบบไม่จริงเลยดีครับ เป็นสิ่งที่หนักใจมาก ๆ ครับ
เพราะตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าโดนเขม่นจากหลาย ๆ ฝ่ายทั้งทางเพื่อนและจากหลักสูตรฯ หลังจากที่มีวาทกรรมพัฒนบูรณาการศาสตร์และบันทึกแบบบ่น ๆ นำเสนอออกไปครับ
แต่หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่แล้วก็ได้คำตอบครับว่า “ความจริงก็คือความจริง” และความจริงที่สุดนั่นก็คือความจริงแท้ ประกอบกับกัลยาณมิตรที่เคยให้ข้อคิดกับผมไว้ว่า “ถ้าผมไม่พูดแล้วใครจะกล้าพูด” ครับ ก็เลยขออนุญาตตอบคำถามของอาจารย์หมอในข้อที่ 4 และ 5 ครับ
โดยขอนำเสนอแบบเบา ๆ ที่สุดครับ ซึ่งอาจจะดูไม่เป็นทางการไปบ้าง
ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าครับ
4. มีความไม่สะดวกอย่างไรบ้างในการเขียนบันทึกลงบล็อก
สำหรับความไม่สะดวกนั้น ก็ยังเป็นปัญหาเดิมครับ นั่นก็คือระบบ Internet ของมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างช้าในการสื่อสารเข้าสู่ระบบ Internet และเครือข่าย www ครับ (แต่เข้าดูข้อมูลของ มอบ. เร็วมาก ๆ ครับ)
ช้าแต่ใช้ได้ครับ เพียงแค่เพิ่มเวลาทำงานจาก 1 ชั่วโมงเป็น 4 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ
ปัญหานี้อาจจะเป็นปัญหาที่ผมนำเสนอคนเดียวครับ ถ้านับจากจำนวนนักศึกษาทั้งหมดที่กำลังศึกษาอยู่ ณ ขณะนี้
เพราะความจริงตามบริบทนั้น คนที่จะประสบกับปัญหานี้อย่างหนักและโดยตรงที่สุดมีเพียง 2 คนครับ ก็คือนางสาวพิไล กับตัวของผมเองครับ แต่สำหรับน้องพิไลนั้น คงจะยังไม่มีความกล้าหาญและบ้าบิ่นเพียงพอที่จะออกมายืนหยัดอยู่คนละฟากกับ Social Norm หรือระบบประชาธิปไตยนิยมอย่างผมครับ
สาเหตุที่มีเพียงผมและพิไลที่ต้องประสบปัญหาความไม่สะดวกในการลงบล็อกเนื่องจากระบบ Internet ของม.อุบล เพราะเนื่องจากข้อจำกัดทางด้าน “ทุน” และ “ทางเลือก” ครับ ที่ผมไม่มี “ทุน” และ “ทางเลือก” เหมือนกับนักศึกษาท่านอื่น ๆ ครับ
ปัญหาเรื่อง “ทุน” และ “ทางเลือก” เกิดขึ้นเนื่องจากผมเองมิได้ทำงานราชการและลามาศึกษาต่อเหมือนท่านอื่น ๆ จึงไม่ได้รับเงินเดือนและสวัสดิการมากมายเหมือนกับท่านอื่น ๆ
ประกอบกับภูมิลำเนาบ้านเกิดที่อยู่ห่างไกลจากจังหวัดอุบลราชธานีมากที่สุด ยิ่งทำให้ “ทุน” และ “ทางเลือก” แทบจะไม่มีให้เลือกครับ
เพราะถึงแม้มี “ทางเลือก” แต่ก็ไม่มี “ทุน” หรือแม้มี “ทุน” แต่ก็ไม่มี “ทางเลือก” ครับ
แต่ผมเองก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอย่างมากที่สุดครับ ในขั้นแรกมี “ทางเลือก” ที่ดีเข้ามาตั้งอยู่หน้าหอพัก ไม่ไกลเลยครับเพียงแค่ 20-30 เมตรเท่านั้น ก็จะมี “อินเทอร์เนท คาเฟ่” มาตั้งไว้ให้บริการครับ
ถึงแม้ว่ามีทางเลือกที่ดี แต่ “ทุน” ไม่มีก็ต้องหาทางเลือกอื่นครับ เพราะช่วงที่เข้าไปใช้บริการจากร้านอินเทอร์เนท นั้น ถึงแม้ว่าจะมีค่าบริการถูกมาก ๆ เพียงชั่วโมงละ 12 บาท แต่ก็ต้องช่างใจเปรียบเทียบกับค่าอาหารตลอดครับ เพราะค่าข้าวราดแกงที่นี่จานละ 15 บาท
ว่าผมจะเลือกมีชีวิตอยู่หรือจะเลือกใช้อินเทอร์เนทดีครับ
ตอนนั้นก็พยายามหาทางเลือกอื่นครับ โดยได้ขออนุญาตเข้าใช้ห้องคอมพิวเตอร์ที่หลักสูตรฯ จัดให้ไว้นอกเวลาราชการครับ เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดของช่องสัญญาณระหว่างเวลาที่นักศึกษาภาคปกติใช้ในเวลากลางวัน ก็ได้รับความสะดวกและทำงานได้เร็วมากขึ้น แต่ก็มีปัญหาติดขัดด้วยเทคนิคส่วนบุคคลครับ คือเรื่อง “กลัวผี” ครับ
อาจเป็นเพราะเนื่องจากตอนเด็ก ๆ ดูหนังผีมากไปหน่อยครับ จึงทำให้เกิดอาการ “หลอน” ครับ เวลาที่ต้องนั่งทำงานอยู่ในตึกเพียงขนาดใหญ่คนเดียวตอนกลางคืนครับ ทางหลักสูตรฯบอกว่า ใช้ได้ตลอดทั้งคืนเลย แต่ผมคงไม่ไหวครับ แค่นั้นก็แทบแย่ครับ
และอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งก็ตามมาครับ เนื่องจากเวลาที่เดินกลับหอตอนดึก ๆ คนเดียว “น้องหมาก็เห่าและไล่ตามกัดบ้างครับ” เพราะระยะทางจากตึกคอมฯ ถึงหอพักประมาณ 1 กิโลเมตรครับ ใช้เวลาเดินเท้าความเร็วสม่ำเสมอใช้เวลาประมาณ 15 นาที ครับ
แต่ปัญหานี้ก็พอแก้ได้ครับ เพราะบางครั้งก็เจอนักศึกษาใจดีครับ จำได้ว่ามีรุ่นพี่น่ารัก ๆ พักอยู่หอเดียวกัน ถ้าน้องเขาเห็นก็จะรับไปด้วยกันครับ
และตอนนี้ถ้าทำงานตอนกลางคืนก็จะยืมรถมอเตอร์ไซด์จากน้องคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันมาใช้ขี่กลับหอตอนดึก ๆ ครับ
ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ครับ แต่ก็มีความไม่สะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ เพราะ “ทุน” กับ “ทางเลือก” ไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าใดนักครับ
5. มีอะไรอีกที่ นักศึกษา อยากแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับทาง มอบ. และ สคส. ในเรื่องการเรียนของตน
มีครับ แต่มิใช่ข้อแลกเปลี่ยนครับ เป็นเพียงคำถามซึ่งค้างคาใจมาหลายสัปดาห์ครับ
คำถามที่ขออนุญาตถามทางหลักสูตรฯ , มอบ., สคส., และมหาวิชชาลัยภาคอีสาน ก็คือเรื่องของการตั้งหลักสูตร “พัฒนบูรณาการศาสตร์” ครับ ในส่วนเรื่องของ “บล็อก และการจัดการความรู้และมหาวิชชาลัยภาคอีสาน” ว่าเป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันตั้งแต่ตั้งหลักสูตรพัฒนบูรณาการศาสตร์เลยหรือเปล่าครับ
เพราะตั้งแต่ผมได้เข้ามาเรียนและเจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ ชาว “พัฒนบูรณาการศาสตร์” ก็พบว่า “พัฒนบูรณาการศาสตร์” มีหลายประเภทมากครับ
ตั้งแต่แบบที่มี KM แบบที่ไม่มี KM
แบบที่ต้องลงพื้นที่มหาวิชชาลัยภาคอีสาน และแบบที่ไม่ต้องลงพื้นที่
แบบที่เรียนก็ได้ แบบที่ไม่เรียนก็ได้
หรือแบบที่มีทั้งเรียน มี KM ต้องลงพื้นที่ ฯลฯ
คือคำถามที่ผมคาใจมาก ๆ ก็คือ มาตรฐานของบัณฑิตที่เรียกว่า “พัฒนบูรณาการศาสตร์” เป็นอย่างไรเหรอครับ (ผมเคยถามทางหลักสูตรแล้วครับ แต่คำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สอดคล้องกันครับ)
เพราะบริบทของผมแตกต่างจากท่านอื่น ๆ ครับ เพราะผมไม่ได้มาเรียนเพื่อปรับวุฒิ หรือปรับเงินเดือน แต่ผมต้องนำปริญญาบัตรใบนี้ ซึ่งถือได้ว่าอาจจะเป็นปริญญาบัตรตามหลักสูตรใบสุดท้ายของชีวิต เดินออกไปสมัครงาน
ผมจะได้อธิบายคนที่ถามหรือสัมภาษณ์ผมถูกว่า “พัฒนบูรณาการศาสตร์” คืออะไรครับ
และจะต้องสร้างคุณภาพของตนเองเพื่อเข้าแข่งขันในตลาดแรงงานและทำประโยชน์กับสังคมและประโยชน์ชาติให้ได้มากที่สุดครับ
เพราะระยะเวลาที่ผ่านมาที่ได้เห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ และน้อง ๆ ทำงานนิพนธ์กัน ถ้าไม่บอกว่าเรียนสาขาอะไร ก็อุปมาอุปมัยได้ตั้งแต่ บางคนก็เรียนเอกท่องเที่ยว เอกการโรงแรม เอกพัฒนาชุมชน เอกเกษตรศาสตร์ เอกการจัดการระหว่างประเทศ
หรือจะว่าต้องบูรณาการ KM เข้ากับงานวิจัยก็ไม่ใช่อีกครับ เพราะบางคนไม่ต้องทำไม่ต้องเรียน KM ก็ได้
หรือจะว่าต้องเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน บางคนก็ไม่ต้องลงพื้นที่ในมหาวิชชาลัยภาคอีสานก็ได้อีก ไม่ต้องมีปราชญ์ชาวบ้านเป็นที่ปรึกษาก็ได้
ผมก็เลยขออนุญาตถามทาง หลักสูตร , มหาวิชชาลัยภาคอีสาน , สคส. และทาง มอบ. อีกครั้งครับ ว่า “พัฒนบูรณาการศาสตร์” แท้ที่จริงแล้ว นั่นคืออะไรครับ
แต่ผมมิใช่คนช่างถามอย่างเดียวนะครับ ผมก็เตรียมหาทางออกและช่วยเหลือตัวเองไว้เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า “โอกาส” นี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตครับที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในหลักสูตรที่ตามหลักการแล้วดีที่สุดในประเทศครับ
ดังนั้นสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ก็คือ ผมจะเขียนหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ที่เชื่อมโยงและบูรณาการสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหมดนั้นเข้ามาให้ได้ครับ เพื่อใช้เป็นตัวดึงศักยภาพและความสามารถออกผมเองออกมาให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งไขว่คว้าหาความรู้จากโอกาสนี้ให้ดีที่สุดเช่นเดียวกันครับ
เพราะคงไม่มีใครมาดึงเราได้นอกจากเราจะดึงตัวเองครับ
ซึ่งตอนนี้ผมพยายามคิดหัวข้องานที่ท้าทายความสามารถและสามารถเค้นศักยภาพออกมาจากทั้ง “ตัวเอง” และ “ทุน” ที่พัฒนบูรณาการศาสตร์ เขียนและสร้างไว้ให้ได้อย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
อ่านแล้ว มองเห็นเบื้องหลัง ที่น่าทึ่ง
นายรักษ์สุขใช้เวลาในการเขียนบันทึกถึง 4 ชั่วโมงเชียวหรือ
1 วันมี 24 ชั่วโมง หักออกไป 4 เหลือ 20 ชั่วโมง
20 ชั่วโมง สำหรับการพักผ่อน นอน และทำกิจกรรมอย่างอื่น
“พัฒนบูรณาการศาสตร์” คืออะไรครับ
ถ้าได้คำตอบแล้ว ขออนุญาตทราบด้วยคนค่ะ