ดร.จีระ/ไอเดีย -โป๊ะเช๊ะ


ความรู้ใหม่ และไอเดียใหม่ ๆ ทำให้เราอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในยุคโลกาภิวัตน์
สวัสดีครับพวกเราชาวสังคมแห่งการเรียนรู้ทุกท่าน
ผมเปิด Blog นี้สำหรับคนที่ชอบความรู้ใหม่ ๆ ไอเดียใหม่ ๆ และเป็นเรื่องที่ตรงประเด็นหรือที่ลูกศิษย์ของผมเขามักจะเรียกว่า "โป๊ะเช๊ะ" มาแบ่งปันความรู้กันที่นี่ เพราะสังคมไทยยุคโลกาภิวัตน์นั้น คนไทยจะรอดได้เราต้องมีไอเดียใหม่ มีความรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา
ผมก็หวังว่า Blog นี้จะได้รับความสนใจไม่แพ้ Blog อื่น และให้ประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจไม่แพ้ Blog อื่นเช่นกัน
                                                       จีระ  หงส์ลดารม์
            

 อย่าลืมติดตามอ่านได้ ในหนังสือ Recruit Update

เดือนสิงหาคม 2549

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ไอเดีย-โป๊ะเช๊ะ
หมายเลขบันทึก: 44107เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2006 18:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

 Glider 1 เรียน ท่านอาจารย์ ดร.จีระ

 รบกวนให้ความเห็นครับ

 http://gotoknow.org/blog/uackku/43909

 

 







Idea เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?         
Idea เกิดมาจากความรอบรู้ใหม่ ๆ ของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป 
ความรอบรู้อย่างเป็นเกิดได้ขึ้นอย่างไร?           
เกิดขึ้นเพราะคิดเป็นและได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก เช่น คุณพ่อคุณแม่ตั้งโจทย์สนุกให้ลูกคิดเป็นการบ้าน  หรือ ครูฉลาดในการใช้ศักยภาพของเด็ก โดยให้เด็กมีอิสรภาพในทางความคิดและแนะนำแหล่งความรู้ดี ๆ แต่แค่นี้ก็ไม่พอ อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ มี idea แล้วสร้างอะไรให้เรา? อย่างน้อยก็ต้องสร้างความสนุก ความสุข ความท้าทาย และหวังว่าวันหนึ่งจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ 
ทำไมเรียกว่า idea โป๊ะเช๊ะ?           
ง่าย ๆ ก็คือ ให้เราเข้าใจ เข้าถึง และสนุกกับ idea โป๊ะเช๊ะ โป๊ะช๊ะ คือ ได้มาแล้วเข้าใจ รักษาไว้ และอยู่กับเรา สร้างความสุขและมีความท้าทายในชีวิต และเมื่อไอเดีย ซึ่ง โป๊ะเช๊ะ ก็จะทำให้เราพูดถ่ายทอดได้อย่างชัดเจน เพราะไอเดีย โป๊ะเช๊ะไม่ได้ลอกมา แต่ศึกษามา เข้าใจ และเก็บไว้
จะได้ ไอเดีย โป๊ะเช๊ะอย่างไร  ?
  • อ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน วันละ 30 นาที และมีความสุข ท้าทายที่ได้อ่าน
  • อ่านอะไร ถ้าภาษาดี ก็อ่านบทความภาษาต่างประเทศ
  • ถ้าภาษาดี ก็อ่านจาก Internet
  • ฟังรายการวิทยุดี ๆ
  • ถ้ามีเงินบ้างก็ต้องติดดาวเทียม หรือ UBC เพื่อหาความรู้  ดูรายการดี ๆ เช่น History Channel  BBC                                                                  ก็หวังว่าบางคนยังได้ดูรายการของผมบ้าง ซึ่งออกอากาศทาง UBC 07 ทุกวันอาทิตย์ บ่ายโมง  ซึ่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น กว่า 60 % ก็ดูรายการของผม เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ในต่างจังหวัด มักจะอยู่บ้านในวันอาทิตย์  สำหรับกลุ่มคนดูรายการฯ ของผม ในกรุงเทพฯ ก็ลำบากหน่อย เพราะคนเก่งก็จะประมาท และนึกว่าฉันแน่แล้ว  คนเก่งต้องเล่น Goft เป็นส่วนใหญ่ ท่าน JJ ที ม.ขอนแก่น ท่านก็เก่ง แต่ท่านหาความรู้ตลอดเวลา
  • ดร.สุลัดดา ลอยฟ้า คณะบดีคณะศึกษาศาสตร์ ซึ่งเชิญผมไปพูดครั้งแรกที่ ม.ขอนแก่นประมาณ 10 ปีที่แล้วท่านก็รู้จักผมจากรายการ T.V. วันนี้ก็มีส่วนทำให้ผมได้รับเลือกเข้าไปเป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • แต่ที่แน่ ๆ  ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีของมหาวิทยาลัยรังสิต ท่านชอบดูรายการฯของผม  เมื่อดูเสร็จ ก็สั่งให้ลูกน้องของท่านโทรมาถึงผมเลย จึงได้เกิด หลักสูตร 7 Habits ‘s workshop ที่ผมจัดให้กับคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยรังสิต จำนวน 50 คน
  • กระซิบนิดนึงว่า บรรดาตุลาการศาลยุติธรรม 15 ท่าน ผมทราบดีว่าท่านน่าจะดู รายการด้วยเช่นกัน            ผมพบผู้พิพากษาหลาย ๆ ท่านซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกบ้าความรู้ เพราะรู้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ  ทุกวันนี้ต้องรู้การเมือง ต้องรู้การเลือกตั้งด้วย ซึ่งหลาย ๆ ท่านก็เป็นแฟนรายการของผมด้วย

เรื่องที่พูดมาทั้งหมดฝันอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นในสังคมไทย ?         

  • ฝันว่า..อยากเห็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ จะมีความคิดและ ไอเดียใหม่ เกิดขึ้นเสมอ           
  • ฝันว่า..ครูโรงเรียนประถมและมัธยมกว่า 5 แสนคน จะบ้าความรู้ดี ๆ  ไม่ใช่บ้าทำงาน overload หรือทำงานพิเศษ เช่น ธุรกิจขายตรง  แต่ก็คงแค่ฝันครับ คุณ JJ ว่าอย่างไรครับ 

เรียน ศ. ดร.จีระ

ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้จาก Blogของท่านด้วยคนค่ะ

ได้เข้าอบรมหลักสูตร 7Habits รุ่นแรกของ มข. ค่ะ ตอนนี้คงจะเป็นการลับฟันเลื่อยให้คมค่ะ

สุภาพ ณ นครL

ยม "บทเรียนจากความจริงกับ ศ.ดร.จีระ Isreal/Hezbollah และ ทักษิณ/อภิสิทธิ์"
สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผู้อ่านทุกท่าน  หลายวันที่ผ่านมา ผมไม่ได้เขียนข้อความลงใน Blog ของอาจารย์ เนื่องจากไปสัมมนาที่ Bankgalore ประเทศอินเดียมาหลายวัน หลังจากผมกลับจากการไปร่วมสัมมนา ผมแสวงหาอาหารทางสมอง เช่นเคย ด้วยการค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก Internet   รายการแรกที่ผมอ่านในเช้าวันเสาร์ก็คือ บทเรียนจากความจริง ของ ศ.ดร.จีระ จาก เว็บของ น.ส.พ.แนวหน้า http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97 อาจารย์เขียน เกี่ยวกับ บทเรียนจากความจริง เรื่อง Isreal/Hezbollah และ ทักษิณ/อภิสิทธิ์   ในบทความนี้ ศ.ดร.จีระ เขียน บทเรียนจากความเป็นจริงได้น่าสนใจ ข้อความข้างล่าง แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความที่อาจารย์เขียน ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม ซึ่งมีดังนี้ ครับ     ยุคนี้เป็นยุคของการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนข้อมูล การมีสื่อ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ จากการทำงานร่วมกับ FM 96.5 MHz ผมได้ย้ายรายการจากวันอาทิตย์มาเป็นวันพุธ เวลา 19.30 - 20.30 น. จะมีการพูดเรื่องระยะยาว ที่ผู้ฟังสามารถนำไปใช้ได้ ผมดีใจที่การใช้สื่อของผมได้ประโยชน์มากขึ้น ยุคนี้ต้องนำเอา Ideas ดี ๆ ไปสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดเวลา  ประเด็นนี้ ผมเห็นด้วยกับ ศ.ดร.จีระ เป็นอย่างยิ่ง เป็นยุค Knowledge-Based Economy ความรุ่งเรือง ความสำเร็จของสังคม องค์การ ของประเทศชาติ ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ การจัดการความรู้ เช่น สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นมหาอำนาจ ก็เพราะมีการจัดการเรื่องความรู้ดีมาก มีมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอยู่ที่นั่นหลายแห่ง มีการทำวิจัยเรื่องต่าง ๆ มากมาย ทั้งชีวิตคน ชีวิตสัตว์ ชีวิตการทำงาน และมีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ   ส่วนประเทศไทยเราในความเห็นผมเรื่องการจัดการความรู้ ควรต้องเร่งพัฒนา มีนโยบายสาธารณะด้านการส่งเสริม การจัดการเรื่องการศึกษาทั้งระยะสั้น ระยะยาว โดยเฉพาะเรื่อง ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และด้าน IT รวมทั้งด้านจริยธรรม ศีลธรรมอันดีงาม เป็นต้น   คนมีความรู้หลายคนไม่ได้ทำอย่าง ศ.ดร.จีระ ทำ แต่กลับมีพฤติกรรมตรงกันข้ามคือมีความรู้แต่เก็บความรู้ไว้ ไม่เผยแพร่ หรือไม่เผยแพร่หมด ไม่พัฒนาต่อ รู้อยู่คนเดียว แถมหวงวิชา และไม่ชอบให้ใครรู้มากกว่า   ผมไปดูงานและสัมมนาที่ประเทศอินเดีย ได้มีโอกาสร่วมสัมมนากับสถานบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงของอินเดีย ซึ่งมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกหลายแห่ง และได้มีโอกาสไปดูงานบริษัทที่มีชื่อเสียงด้าน ไอที และผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง TOYOTA ในประเทศอินเดีย น่าทึ่งมากครับที่อินเดียพัฒนาไปไกลแล้ว โดยเฉพาะด้าน IT และการบริหารการศึกษา อินเดียเป็นประเทศที่มีการพัฒนาการจัดการความรู้ได้ดี ศูนย์ไอที ที่ดีที่สุดในโลก อยู่ที่นี่ เป็นแหล่งรวบรวมคนมีความรู้ ความสามารถมารวมไว้ และให้คนเก่ง คนดีเหล่านั้นได้ทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนความรู้กัน จึงกลายเป็นจุดแข็งของการจัดการความรู้ประเทศอินเดีย ซึ่งสามารถแข่งกับจีนได้ ผมได้ถามนักวิชาการด้านการบริหารชาวอินเดียว่า ในความเห็นของเขาคิดว่าใครจะเป็นประเทศมหาอำนาจกันแน่ระหว่างจีนและอินเดีย  คำตอบที่ได้คือ เป็นทั้งสองประเทศ แต่แตกต่างกันตรงที่อินเดีย เน้นที่ Software เน้นการศึกษาพัฒนาคนและ Software ขณะที่จีน เน้นการพัฒนา Infrastructure เน้นที่ Hardware คนจีนไม่เก่งภาษาอังกฤษ ขณะที่คนอินเดียพูดภาษาอังกฤษได้ อินเดียไม่หวงความรู้ แต่สนใจที่จะแชร์ความรู้ร่วมกับประเทศต่าง ๆ ขณะที่ไทยมีประชากร หกสิบกว่าล้านคน แต่อินเดียมี หนึ่งจุดสองพันกว่าล้านคน อินเดียยังไม่วุ่นวายทางการเมืองเหมือนไทยในขณะนี้  เขาร่วมมือกันพัฒนาชาติ กลุ่มคนเก่ง ๆ มาที่รวมตัวกันไปเรียน ไปทำงานต่างประเทศ กลับมาประเทศบ้านเกิด หันมาร่วมมือกันพัฒนาความรู้ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อขยายความเจริญทางด้านความรู้ ไปสู่การพัฒนาประเทศและทรัพยากรมนุษย์ของชาติ  สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรม 3 เรื่องที่น่าสนใจ
เรื่องแรกคือ ไปร่วมบรรยายเรื่อง ภาวะผู้นำให้กับกลุ่ม Marketing Guru ในโครงการ Niño MBA ซึ่งทำเป็นครั้งที่ 5 แล้ว การหารือกันเรื่องผู้นำถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ
-
ผู้นำสร้างได้
-
ผู้นำไม่เกี่ยวกับอำนาจทางกฎหมายหรือตำแหน่ง
-
ผู้นำจะมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่ในปัจจุบันผู้หญิงมีน้อยกว่ามาก
-
เป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ
-
ผู้นำแตกต่างกับผู้บริหาร
-
อะไรคือแรงกระตุ้น ( Motivation ) ให้อยากเป็นผู้นำ
-
ผู้นำต้อง
-
เก่งงาน
-
เก่งคน
-
เก่งบริหารการเปลี่ยนแปลง
-
มีคุณธรรม จริยธรรม
ผู้นำมีหลายชนิด
-
แบบมีเสน่ห์ ( Charisma )
-
แบบ Transformation จาก A B
-
แบบเหตุการณ์สร้างผู้นำ ( Situational Leadership )”

เรื่องการไปร่วมบรรยายเรื่อง ภาวะผู้นำให้กับกลุ่ม Marketing Guru ในโครงการ Niño MBA ของ ศ.ดร.จีระ  ผมได้มีโอกาสไปร่วมในงานนี้ด้วย พบว่าการบรรยายให้ความรู้ ของ ศ.ดร.จีระ เป็นการฝึกภาวะผู้นำไปในตัวด้วย  ให้ความรู้ควบคู่กับการฝึกฝน ผมเชื่อว่าในวันนั้น ศ.ดร.จีระ คงเห็นแววผู้นำของผู้เข้ารับการอบรมว่าเป็นอย่างไร เรื่องผู้นำ ที่ ศ.ดร.จีระ บรรยาย และเขียนมาในบทความนี้ เป็นองค์ความรู้ที่สด ไม่ได้ใช้ทฤษฎีแบบดั้งเดิมเอามาสอน แต่เป็นการนำเอาสถานการณ์ ยุคของโลกปัจจุบันและองค์ความรู้ข้ามศาสตร์มาบูรณาการ ออกมาเป็นผู้นำยุคใหม่  และสิ่งที่ผู้นำยุคใหม่ควรมีอย่างยิ่งก็คือ การสามารถบริหารความขัดแย้งให้เป็นคุณค่าแก่ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี   และที่สำคัญที่ ซึ่ง ศ.ดร.จีระ กล่าวไว้ว่า ผู้นำ ต้องมีความอยากจะเป็น ด้วย ผมได้ความรู้ใหม่ตรงนี้  ผู้นำยุคนี้ต้องมีความอยากจะเป็นซึ่งผิดจากสมัยก่อน ว่าผู้นำคือผู้ที่คนอื่นยอมรับและแต่งตั้งขึ้นมา ทั้งที่ไม่อยากเป็น  ที่ว่าผู้นำ ควรต้องมีความอยากจะเป็นด้วย ผมเห็นด้วยเป็นอย่างมาก เพราะผู้นำต้องกำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ นโยบายสาธารณะต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก ย่อมต้องเจอกระแสต่อต้าน ถ้าผู้นำไม่มีความอยากจะเป็นเมื่อเจอปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดแรง และท้อแท้ถอยหลังไป นอกจากนี้ ศ.ดร.จีระ ยังได้อธิบายความแตกต่างระหว่างผู้บริหารและผู้นำ ซึ่งผมขอร่วมแชร์ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้ ครับ นักบริหาร มีคุณลักษณะภายในตนที่สามารถปลูกฝังและฝึกได้หลายประการ ดังต่อไปนี้
  • มีวิสัยทัศน์ มีสายตาที่ยาวไกล ก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
  • ตรงไปตรงมา มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูงสุด
  • ทำงานโดยมุ่งผลสำเร็จมากกว่ามุ่งกระบวนการ
  • มองปัญหาชัด
  • ใช้ปัญญาในการการแก้ปัญหาและ
  • กล้าตัดสินใจ
  • เป็นผู้มีศิลปะในการประนีประนอม
  • การทำงานเป็นทีม ฯลฯ
 นักบริหาร
  • เรียนรู้สิ่งใหม่/ รับฟัง/ อ่านตำราใหม่ ๆ ผู้บริหารที่อ่านมากจะรู้มาก ก้าวทันวิทยาการโลก
  • รู้จักเลือกใช้คน ใช้คนให้เหมาะกับความรู้ความสามารถ
  • มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ช่วยป้องกันการตัดสินใจที่อาจผิดพลาด
  • สื่อสารให้ทีมงานเข้าใจได้
  • กระจายข้อมูลที่จำเป็นให้ทุกคนรับรู้อย่างทั่งถึงและรวดเร็ว
  • สร้างเศรษฐกิจชุมชนไปสู่การแข่งขันตลาดโลกจากการกสร้างเศรษฐกิจในครัวเรือนให้พอมีพอเพียง ไปสู่การทำมาค้าขายในระดับท้องถิ่นไปจนถึงก้าวเข้าสู่ตลาดระหว่างประเทศ
ผู้นำต้องมีผู้อยากเดินตาม ขณะที่ผู้บริหารต้องสามารถทำงานและกำกับควบคุมให้ผู้อื่นทำงานได้ดี   ผู้นำเป็นผู้มีความคิดกว้างไกลและลึกมีความสามารถในด้านการใช้ภาษาต่างๆ มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ เป็นคนที่ฉลาด มีทุนทางความรู้มากมีความสำเร็จในด้านวิชาการและด้านบริหารมีความรับผิดชอบสูงมีความกล้าและมีความอดทนความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสังคมได้มีระดับจิตใจสูง มีคุณธรรม ฯลฯผู้นำมักสร้างคน ต้องสร้างผู้บริหารไว้หลายระดับ มีตัวตายตัวแทนหมุนเวียนให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้ามาแทนเพื่อตัวเองสามารถก้าวให้สูงขึ้น ผู้นำต้องคิดให้ทะลุ มองปัญหาไว้ตั้งแต่การป้องกัน การแก้ไข กระบวนการทำงานทุกขั้นตอน    ผมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการค้าต่างประเทศได้จัด workshop เรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ที่น่าสนใจเพราะเป็นการจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยเน้นทฤษฎีว่า ถ้าจะทำ HR ให้ได้ผล ต้องพัฒนาความเชื่อและศรัทธาก่อน
เรื่องเผยแพร่องค์ความรู้ด้านทรัพยากรมนุษย์ เราโชคดีที่มี ศ.ดร.จีระ เปิดประเด็นใหม่ ๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทำให้   HR Manager หลายท่านไม่หลงประเด็นไปเน้นแต่ สรรหา คัดเลือก อบรม ก.ม.แรงงานฯ เป็นต้น  เพราะสิ่งที่ ศ.ดร.จีระ แนะนำ โดยเฉพาะเรื่อ ทฤษฎี 8 K’s จะเป็นรากหญ้าของทรัพยากรมนุษย์ ถ้าทรัพยากรมนุษย์ ไม่มีสิ่งที่ ศ.ดร.จีระ บรรยายหรือแชร์ความรู้ ก็ไม่มีประโยชน์ ที่จะไปทำการสรรหา คัดเลือก อบรม ทำด้านแรงงานสัมพันธ์ฯ ผมจึงมั่นใจว่า สิ่งที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการค้าต่างประเทศได้รับ จะมีประโยชน์อย่างมาก เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการทำงาน   การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ในยุคนี้ต้องพูดคุยกันในเรื่องโลกาภิวัตน์และ Innovation ไม่มาย้ำคิดย้ำทำเรื่อง สรรหา คัดเลือก อบรม แรงงานสัมพันธ์ฯ อย่างที่ทำกันอยู่ แค่งานประจำวันเท่านั้น ยังไม่สามารถขับเคลื่อนองค์กร สังคม ประเทศชาติได้ดีนัก
เมื่อกลับมาดูคุณทักษิณ กับคุณอภิสิทธิ์ ในระยะแรก นายกฯทักษิณได้เปรียบ ชนะอยู่หลายช่วงตัว แต่วันนี้ คุณอภิสิทธิ์ปรับปรุงแนวทางของการเป็นผู้นำ จุดแข็งของคุณทักษิณ คุณอภิสิทธิ์ก็นำมาใช้ได้ และหลีกเลี่ยงจุดอ่อนอื่น ๆ เช่น
-
คุณธรรม จริยธรรม
-
เรื่อง Corruption ก็นำมาชี้ให้เห็น
-
สิ่งใดที่เป็นประชานิยมก็จะทำ ทำเพื่อความยั่งยืน เช่น มีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
-
เน้นเรื่องการลดค่าครองชีพ ทุนนิยมของทักษิณเป็นแบบเน้นการตลาดเต็มตัว แต่ทุนนิยมของคุณอภิสิทธิ์เป็นทุนนิยมแบบยั่งยืน เน้นกระจายผลประโยชน์ต่อทุกกลุ่ม และยังมองเรื่องการศึกษาด้วย สนใจเรื่องสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้คนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรมด้วย”  เรื่องประเด็นทางการเมืองที่ ศ.ดร.จีระ เขียนมา ผมเห็นด้วย เห็นว่าคุณอภิสิทธิ์มีการพัฒนารูปแบบการหาเสียงได้ดีขึ้นมาก ก็ขอให้มีการประเมินผลการทำดังกล่าวเป็นระยะและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งเก่งและดีขึ้น   ที่สำคัญ การหาเสียงและนโยบายพรรคของทุกพรรคการเมือง ก็ควรควรคำนึงถึงกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2549 พระราชดำรัส 4 ข้อนี้ ขอให้นักการเมืองทั้งหลาย นำไปช่วยปฏิบัติให้เกิดผล ทั้งยังเป็นการเผยแพร่ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนรุ่นหลัง พระราชดำรัส 4 ข้อ ดังกล่าวพอสรุปมาได้ดังนี้
  1. จะคิด จะพูด จะทำ ก็ขอให้มีเมตตามุ่งดีต่อกัน
  2. ให้ช่วยเหลือประสานงานสามัคคีกัน ต้องช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ประสานประโยชน์กัน ทำงานช่วยเหลือตัวเองด้วย แก่ประเทศชาติด้วย
  3. ให้ปฏิบัติตนอยู่ในกฎระเบียบ เคารพกฎหมายให้เท่าเทียมเสมอกัน และ
  4. ต้องพยายามทำความคิดความเห็นของตัวเองให้ถูกต้องมั่นคง มีเหตุผล อย่าทำอะไรด้วยอารมณ์ ตัณหา กิเลส ต้องมีอยู่ในเหตุผล และปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน จะขัดแย้งกันบ้าง แต่เมื่อตกลงกันแล้วก็เดินไปในทิศทางเดียวกัน
 นอกจากนี้ การหาเสียงของนักการเมือง ก็ควรระวังว่าจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อมากเกินไป หาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนน แต่ไม่สนใจว่าจะถูกต้อง และสิ่งที่พูดจะเป็นไปได้หรือไม่  ที่สำคัญ นโยบายแต่ละพรรคผมยังไม่เห็นมีพรรคไหน มีโครงการที่ยั่งยืนถาวรเพื่อแผ่นดินจริง ๆ จึงขอให้บอกผ่านมายังทุกพรรคการเมืองว่า ลองทบทวนดูวิสัยทัศน์ ภารกิจ วัตถุประสงค์ นโยบายเป้าหมาย อีกครั้ง ว่าแผ่นดินได้อะไรจากนโยบายนั้นหรือไม่อย่างไร  นโยบายของพรรคเป็นการคิดสั้นหรือคิดยาว คิดแบบ Local อย่างเดียว หรือคิดแบบ Globalization ร่วมกันไปด้วย ในยุคนี้ ถ้าคิดสั้น คิดแคบเฉพาะท้องถิ่น อาจจะอยู่รอดได้ยาก เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ขีดจำกัดหรือเน้นแค่ท้องถิ่น แต่อยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง บนกระแสโลกาภิวัตน์ ให้คนไทยอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน วันนี้ ผมเขียนไว้เท่านี้ก่อน  ศ.ดร.จีระ มีรายการที่น่าสนใจหลายรายการ เช่นรายการโทรทัศน์สู่ศตวรรษใหม่ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people วันพุธ เวลา 19.30 - 20.30 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz   คอลัมน์บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า 5 และรายการเศรษฐกิจพอเพียงกับโลกาภิวัตน์ ทาง ททบ. 5 ทุกวันอังคารและวันพุธ เวลา 9.55 น. – 10.00 น. หรือทาง http://www.chiraacademy.com/   เชิญท่านติดตามศึกษาหาบทความ เรื่อง Isreal/Hezbollah และ ทักษิณ/อภิสิทธิ์ ของ ศ.ดร.จีระ และร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ   ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน     ยม   
ยม "บทเรียนจากความจริงกับ ศ.ดร.จีระ Isreal/Hezbollah และ ทักษิณ/อภิสิทธิ์" (ต่อ)
Isreal/Hezbollah และ ทักษิณอภิสิทธิ์[1]

 บทความนี้ผมเขียนในวันพุธ ก่อนจะเดินทางไปประชุม APEC/ILO ที่จาการ์ตา ประเทศ อินโดนีเซีย กิจกรรมหนึ่งที่ผมทำในนามของ ประธานคณะทำงานด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ เอเปก ( APEC HRD Working Group ) ซึ่งดำรงตำแหน่งมา 2 ปีแล้ว ได้ความรู้และเป็นประโยชน์มากต่อคนไทย กิจกรรมทุกเรื่อง ผมจะรายงานให้คนไทยทราบเพราะ
ยุคนี้เป็นยุคของการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนข้อมูล การมีสื่อ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านได้ประโยชน์
ในยุคต่อไป องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันมากขึ้น ต่างคนต่างทำจะไม่สำเร็จ ผมเปิดกว้างให้องค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ มาทำงานร่วมกับ APEC มากขึ้น เช่น OECD หรือธนาคารโลก
การประชุมครั้งนี้ เป็นเรื่องการลดการใช้แรงงานเด็กในหลายประเทศ ซึ่งปัญหาแรงงานเด็กเกิดขึ้นเพราะ
-
ค่าจ้างถูก
-
กฎหมายควบคุมไม่ถึง
-
พ่อแม่ยากจน
-
เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ จึงต้องทำงานหาเงิน
จุดอ่อนคือ เด็กขาดโอกาสทางการศึกษา เมื่อเขาอายุ 25 ปีขึ้นไปแล้ว เขาจะทำอะไร อนาคตจะลำบาก เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ
APEC/ILO
จึงร่วมมือกัน ลดการใช้แรงงานเด็ก และต้องให้ได้ผลจริง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเด็ก หาวิธีให้เขาได้รับการศึกษาที่ดี
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรม 3 เรื่องที่น่าสนใจ
เรื่องแรกคือ ไปร่วมบรรยายเรื่อง ภาวะผู้นำให้กับกลุ่ม Marketing Guru ในโครงการ Nano MBA ซึ่งทำเป็นครั้งที่ 5 แล้ว การหารือกันเรื่องผู้นำถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ
-
ผู้นำสร้างได้
-
ผู้นำไม่เกี่ยวกับอำนาจทางกฎหมายหรือตำแหน่ง
-
ผู้นำจะมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่ในปัจจุบันผู้หญิงมีน้อยกว่ามาก
-
เป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ
-
ผู้นำแตกต่างกับผู้บริหาร
-
อะไรคือแรงกระตุ้น ( Motivation ) ให้อยากเป็นผู้นำ
-
ผู้นำต้อง
-
เก่งงาน
-
เก่งคน
-
เก่งบริหารการเปลี่ยนแปลง
-
มีคุณธรรม จริยธรรม
ผู้นำมีหลายชนิด
-
แบบมีเสน่ห์ ( Charisma )
-
แบบ Transformation จาก A B
-
แบบเหตุการณ์สร้างผู้นำ ( Situational Leadership )
ผู้นำมีหลายชนิด แตกต่างกัน จะเหมาะกับแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความเหมาะสมแต่ละคน
การเรียนรู้ผู้นำ อย่าลอกตำราฝรั่งเท่านั้น ควรจะวิจัยในประเทศไทยมากขึ้น ดูจากจุดอ่อนของเรา/มองตัวเราเอง หรือดูแบบอย่าง Role model
ผมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการค้าต่างประเทศได้จัด workshop เรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ที่น่าสนใจเพราะเป็นการจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 โดยเน้นทฤษฎีว่า ถ้าจะทำ HR ให้ได้ผล ต้องพัฒนาความเชื่อและศรัทธาก่อน
ผมประทับใจในอธิบดีราเชนทร์ พจนสุนทร เพราะเป็นผู้ที่สนใจการสร้างคุณภาพของคนในองค์กร มานั่งฟังและมีส่วนร่วมทั้ง 3 ชั่วโมง ซึ่งอธิบดีในประเทศไทย ไม่ชอบการเรียนรู้ และเราจะมีการทำงานต่อเนื่องในอนาคต
สรุปการทำ workshop พบว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการค้าต่างประเทศอยากเรียนเรื่อง
- Team work
-
การสร้างความรัก ความผูกมิตรในองค์กร
-
การเป็นเจ้าขององค์กร
ซึ่งแต่ละเรื่องน่าสนใจ แต่ทำยาก อย่างน้อย กระทรวงพาณิชย์ได้มองอะไรแบบ Intangible ครับ
อีกเรื่องหนึ่งคือ จากการทำงานร่วมกับ FM 96.5 MHz ผมได้ย้ายรายการจากวันอาทิตย์มาเป็นวันพุธ เวลา 19.30 - 20.30 น. จะมีการพูดเรื่องระยะยาว ที่ผู้ฟังสามารถนำไปใช้ได้ ผมดีใจที่การใช้สื่อของผมได้ประโยชน์มากขึ้น ยุคนี้ต้องนำเอา Ideas ดี ๆ ไปสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดเวลา
เมื่อพูดถึงผู้นำ ก็นึกถึงช่วงนี้ที่มีการเปรียบเทียบผู้นำการเมือง 2 คนคือคุณทักษิณ ชินวัตร และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากจะเปรียบเทียบภาวะผู้นำของ 2 คน อย่ามองแบบ static นิ่ง ขอให้มองอย่างรอบคอบ เพราะทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผมขอยกตัวอย่าง
เมื่อปี 1967 ในการรบระหว่างยิวกับอียิปต์ ยิวชนะภายในเวลา 5-6 วัน แต่ในวันนี้กว่า 40 ปี ที่ผ่านมา ยิวรบกับกองโจร Hezbollah ทุกคนคิดว่า ยิวต้องชนะอย่างง่ายดายแต่ปรากฏว่า Hezbollah ปัจจุบันปรับยุทธวิธีการรบ สู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี อะไรที่เป็นจุดแข็งของการรบของยิว Hezbollah สามารถนำมาปรับปรุงใช้ได้
ปัจจุบันผู้นำการทหารของยิวหรืออิสราเอล ก็ตกใจ ไม่คิดว่าการรบจะยืดเยื้อไปมากมายขนาดนี้
เมื่อกลับมาดูคุณทักษิณ กับคุณอภิสิทธิ์ ในระยะแรก นายกฯทักษิณได้เปรียบ ชนะอยู่หลายช่วงตัว แต่วันนี้ คุณอภิสิทธิ์ปรับปรุงแนวทางของการเป็นผู้นำ จุดแข็งของคุณทักษิณ คุณอภิสิทธิ์ก็นำมาใช้ได้ และหลีกเลี่ยงจุดอ่อนอื่น ๆ เช่น
-
คุณธรรม จริยธรรม
-
เรื่อง Corruption ก็นำมาชี้ให้เห็น
-
สิ่งใดที่เป็นประชานิยมก็จะทำ ทำเพื่อความยั่งยืน เช่น มีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
-
เน้นเรื่องการลดค่าครองชีพ ทุนนิยมของทักษิณเป็นแบบเน้นการตลาดเต็มตัว แต่ทุนนิยมของคุณอภิสิทธิ์เป็นทุนนิยมแบบยั่งยืน เน้นกระจายผลประโยชน์ต่อทุกกลุ่ม และยังมองเรื่องการศึกษาด้วย สนใจเรื่องสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้คนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรมด้วย  

จีระ หงส์ลดารมภ์
[email protected]

โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร 0-2273-0181

ยม " ไม่พบบทเรียนจากความจริงกับ ดร.จีระ ในเว็บของ น.ส.พ.แนวหน้า เสาร์ ที่ 2 ก.ย. 2549และ ภาวะผู้นำ ที่โรงแรมโอเรียลเต็ล"

สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผู้อ่านทุกท่าน

 เช้านี้ ผมหิวความรู้แต่เช้า และค้นหาบทความ "บทเรียนจากความจริง กับ ศ.ดร.จีระ" ในเว็บของ น.ส.พ.แนวหน้า ซึ่งปกติจะมีปรากฎทุกวันเสาร์ 

 เสาร์นี้ ผมพยายามหา แต่ไม่พบ ครับ  หรือว่าทาง แนวหน้าลืมโพสท์ข้อมูลของ อาจารย์

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ ผมต้องขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ เป็นอย่างสูง ที่ให้เกียรติผมไปร่วมแชร์ความรู้ประสบการณ์ เรื่อง LEADERSHIP ซึ่งอาจารย์ไปเป็น ผู้บรรยายให้กับผู้บริหารของโรงแรมโอเรียลเต็ล

ในการบรรยายผมเห็นอาจารย์มีเทคนิคเหนือในการให้เกิดสังคมการเรียนรู้ในห้องอบรมสัมมนา เพราะอาจารย์ทำให้เกิด    ในเวลาเดียวกัน คือ วิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียน มีอารมณ์ร่วม ไม่ง่วงนอน  ประการต่อมา ถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านผู้นำ ประการต่อมาให้ผู้เข้าร่วมสัมมนามีส่วนร่วมเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง บริหาร trust ของผู้ฟัง ด้วยการให้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น นอกจากให้ความรู้ ให้มีส่วนร่วม อาจารย์ได้ฝึกความเป็นผู้นำ ให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนาและลูกศิษย์ด้วย เวลาที่ใช้ สามชั่วโมง ตอนท้ายของรายการ บรรยากาศเป็นไปด้วยดี  ผู้นำที่โรงแรมโอเรียลเต็ล ได้แสดงบทบาทออกมา สมกับความเป็นผู้นำในโรงแรมชั้นนำของโลก ชั้นหนึ่งของเมืองไทย งานนี้ ถ้าเป็นสไตล์ญี่ป่น เขาบอกว่า ทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างมาก

ที่ผมแนะนำเพิ่มเติมคือ ถ้าอาจารย์ไปบรรยายที่ไหน ผมเสนอว่าควรทำ Blog ไว้ล่วงหน้า แล้วควรมีเวลาอธิบายเรื่อง การใช้ Blog โดยเตรียมทำเป็นภาพสไลด์ไว้อธิบาย หน้าตาเว็บของอาจารย์ว่าเป็นอย่างไร และBlog ที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะเข้าไปใช้คืออะไรหน้าตาอย่างไร ผมคิดว่า Bog มีประโยชน์กับผู้เรียนและผู้อ่านทุกคน และถือเป็นยุทธ์ศาสตร์หนึ่งที่ chiraacademy. ,มีไว้ให้ลูกค้าได้ใช้ จึงควรมีการทำ Blog สำหรับลูกค้าเชิงรุก ล่วงหน้าก่อนไปบรรยาย และนำเครือ่งมือทางการจัดการมาใช้บริหาร Blog ได้แก่ SWOT วิเคราะห์หาจุดอ่อน จุดแข็ง เพื่อการพัฒนาฯ nternal Audit ตรวจสอบ ประเมินผล  ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ครับ

 

ส่วนเรื่องการแชร์ความรู้ เรื่อง Leadership เมื่อวานนี้ ที่อาจารย์บรรยาย ไป ผมสรุปได้ในประเด็นเรื่องคุณสมบัตัของผู้นำ มีดังนี้ครับ

คุณสมบัติพึงประสงค์ของผู้นำ ยุคใหม่ มี

  1. มีการพัฒนาอยู่เสมอ (Everforward)ประโยคที่อาจารย์บอกให้ผู้เรียน อ่านหนังสือทุกวัน ทำให้ผมคิดถึงประเด็นนี้ ผมคิดต่อว่า ผู้นำต้องพัฒนา 3 เรื่อง คือ ประการแรก พัฒนาตนเอง สองพัฒนาทีม สามพัฒนานาย ห้าพัฒนาระบบการทำงาน หกพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้า เจ็ดพัฒนาความพึงพอใจของพนักงาน ประการสุดท้ายพัฒนาผลประกอบการขององค์กร
  2. อาจารย์สอนผู้เข้ารับการอบรมว่า ให้รับฟังความคิดเห็นลูกน้อง ไม่เอาเปรียบลูกน้อง ทำให้ผมนึงถึงประเด็นที่ว่าผู้นำต้อง สร้างความรู้สึกประทับใจส่วนเป็นการส่วนตัว (Personal Touch) ต้องรู้จักบริหารความเชื่อให้ลูกน้องศรัทธา ผมคิดว่า ถ้าเราเชื่อศรัทธาลูกน้อง ลูกน้องก็จะศรัทธาเราเช่นกัน
  3. จากข้อ 2 ทำให้ผมคิดต่ออีกว่า ผู้นำ ต้อง มีความสามารถในการสื่อสารและเก่งเรื่อง คน(Communication and people skills)
  4. อาจารย์สอนให้ผู้นำที่โรงแรมโอเรียลเต็ล มีความกล้า ผู้นำยุคนี้จึงต้องมีความสามารถในการตัดสินใจ กล้านำในสิ่งที่ถูกต้อง(Decisiveness) ที่ผมคิดต่อไว้ว่า การตัดสินใจของผู้  ต้องถูก เหมาะ และควร กับเวลา สถานที่ และบุคคล ไม่ตัดสินใจแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งแล้วมีปัญหาอื่นตามมา โดยไม่คิดแผนรองรับไว้
  5. และจากข้อที่ 4 ทำให้ผมคิดว่าผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ (Vision) ซึงอาจารย์ก็พูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดต่อไปว่า มีวิสัยทัศน์อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักกระตุ้นทีมงานให้แปลงวิสัยทัศน์เป็น ภารกิจ(Mission) วัตถุประสงค์เป้าหมาย(Objectives)+ (Targets) และ แผนกลยุทธ์ นำไปสู่ตัวชี้วัดความสำเร็จ ขององค์การได้เป็นอย่างดี
  6. ผู้นำต้องแสดงความใส่ใจ(Focus) ประโยคอาจารย์สอนในห้องอบรมว่า เป็นผู้นำต้องรู้ข่าวสารโลก ต้องบริหารเวลา ไม่ควรเสียเวลาไปกับเรือ่งไม่เป็นเรื่อง  ทำให้ผมคิดถึงประเด็นนี้ เป็นผู้นำต้องรู้จัด Macro Management ให้ความสนใจเฉพาะเรื่อง CEO คือ Customer Satifaction, Employee Happiness and Development, Organization result เป็นหลัก จึงต้อง Focus สิ่งเหล่านี้
  7. ผู้นำต้องแสดงความเป็นของแท้(Authenticity) ประโยคที่อาจารย์ย้ำว่า เป็นผู้นำต้องกล้าคิด กล้านำ กล้าตัดสินใจ ผมจึงคิดถึงประเด็นที่ว่าผุ้นำต้องแสดงความเป็นของแท้คือ เป็นแบบอย่างที่ดีขององค์การได้ตลอดเวลา ยึดมั่นในคำพูด เมื่อพูดออกไปแล้วต้องศรัทธาและสนับสนุนด้วยการกระทำ มีความเป็นต้นแบบในเรืองคุณธรรม จริยธรรม การกระทำที่สร้างสรรค์

เนื่องจากเวลามีจำกัด ผมสรุปมาได้แค่ 7 ประเด็น ซึ่งที่จริง อาจารย์พูดไปมากกว่านี้มีสาระหลายอย่างที่ผมจับประเด็นไม่ทันครับ

ผมขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ อีกครั้งหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผมไปร่วมแชร์ความรู้ในเวทีนี้ และผมประทับใจทีมงานของอาจารย์ทุกคน ตั้งใจทำงานกันดีมาก และประทับใจ ผู้นำ และทีมฝึกอบรมที่โรงแรมโอเรียลเต็ล ทุกคน

ขอความสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน

สวัสดีครับ

ยม

 

    สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ และท่านผุ้อ่านทุกท่าน

     

    เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ผมได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่อง Business and Service Mind ที่โรงเรียนปัญญาภิวัตน์ เทคโนธุรกิจฯ และได้เขียนข้อความไว้ให้นักเรียนนักศึกษาได้มีไว้ทบทวน

     

    และเห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน อาจจะทำให้ผู้อ่านได้ไอเดีย โป๊แช๊ะ อะไรต่อยอดจากบทความของผม ซึ่งเขียนไว้ใน http://gotoknow.org/blog/HRM-YOM9/61312 ดังมีเนื้อหาสาระดังนี้

     ..................................................

     

    สวัสดีครับ คณะผู้บริหาร (ท่านรอง ผอ.พูนธนา) คณาจารย์ อาจารย์ปิยาพร  และนักศึกษา โรงเรียนปัญญาภิวัตน์และท่านผู้อ่านทุกท่าน 

     

     

    สืบเนื่องจากการบรรยายเรื่อง Business and Service Mind เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ผมได้ทำเป็นบทความสรุปสาระ เพื่อประโยชน์แก่นักศึกษา และท่านผู้อ่านที่เข้ามาชม เว็ป หรือ Blog นี้  เชิญท่านผู้อ่าน ติดตามเนื้อหา ดังปรากฏอยู่ตอนท้ายนี้...................

     

     

    ในปัจจุบัน ธุรกิจมีการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น     เบื้องหลังความสำเร็จทางธุรกิจ เรามักพบว่าการบริการที่ดี เป็นเครื่องมือสนับสนุนงานขาย ให้มีอย่างต่อเนื่อง  เพราะถ้าบริการดี ลูกค้าเกิดความประทับใจ ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น

     

    อีกทั้งการบริการยังถือเป็นหน้าเป็นตาขององค์กรทว่าการบริการจะดีหรือไม่ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวของพนักงาน และอีกส่วนขึ้นกับความใส่ใจขององค์กรที่จะพัฒนางานด้านบริการนี้ขึ้นมา 

     

    ธุรกิจต่าง ๆ จึงพยายามแสวงหายุทธศาสตร์ในการพัฒนางานด้านบริการ และการพัฒนาผู้ปฏิบัติงาน ให้มีศักยภาพ ความสามารถในการสร้างความพึงพอใจมาสู่ลูกค้า อย่างไม่หยุดยั้ง  ด้วยการสร้างสินค้า / บริการ ที่ดีกว่า ถูกกว่า เร็วกว่า ประทับใจกว่า คู่แข่งขัน 

     

    คนที่ทำงานขาย/งานบริการ จึงเปรียบเสมือนนักรบ ที่จะต้อง สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการรู้หลักธุรกิจ และรู้หลักการบริการที่ดี

     

    พนักงาน ผู้ปฏิบัติงานขาย/บริการ......ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจ

     

    ธุรกิจ หมายถึง กิจการที่ก่อให้เกิดสินค้าและบริการ กิจกรรมของธุรกิจ ตามทฤษฎี OM (Operation Management) มี 3 กระบวนการ คือ

    • INPUT กระบวนการนำเข้าทรัพยากรทางการบริหาร ได้แก่ คน วัตถุดิบ อุปกรณ์เครื่องมือ เงินงบประมาณ และระบบการจัดการ ที่จะนำสินค้า/บริการเข้ามาสู่ห้างร้าน สถานประกอบการ
    • PROCESS กระบวนการผลิต กระบวนการขาย กระบวนการบริการ กระบวนการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า และสุดท้ายเป็นขั้นตอน
    • OUTPUT ที่ถือว่าเป็นจุดสุดท้ายของงานขาย/งานบริการ .ในกระบวนการขาย หรือบริการ ผู้ขาย ผู้ปฏิบัติงานต้องมีแนวคิดที่สำคัญคือ ลูกค้าและนายถูกเสมอ เพราะเขาคือผู้มีพระคุณต่อผู้ปฏิบัติงาน

     

    OUTPUT พักงานหรือผู้ปฏิบัติงานขายส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ขายของแล้วก็คือจบ ลูกค้าได้ของไป ออกไปจากร้านแล้ว ก็หมดภาระ แต่สิ่งที่ลูกค้าจะได้ออกไปอีกประการหนึ่งก็คือ ความประทับใจ กับความไม่ประทับใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง การขายหรือการบริการที่ดี ลูกค้าควรที่จะได้ความประทับใจกลับออกไปด้วย หัวใจนักธุรกิจจะคิดสิ่งเหล่านี้เสมอ

     

    ผู้ปฏิบัติควรต้องเข้าใจว่า . การดำเนินธุรกิจนั้น ต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญกับคำว่า Q C D S T

    • Q= Quality =คุณภาพ =สร้างบริการหรือสินค้าดี ออกมาสู่ลูกค้า   
    • C=Cost = ต้นทุน=ช่วยกันประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้สินค้ามีต้นทุนต่ำ ราคาถูก
    • D= Delivery- วันส่งมอบ =ทำงานตรงเวลา เพื่อการส่งมอบที่ตรงเวลา
    • S= Satisfaction =สร้าง รักษา คงไว้ซึ่งความพึงพอใจของลูกค้าทั้งภายในและภายนอก
    • T= Trust = สร้างรักษา คงไว้ซึ่งความเชื่อถือ ความเชื่อมั่น ของลูกค้า

    หน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานที่ดี ควรต้อง ช่วยกันรักษาคุณภาพการทำงาน การบริการ ช่วยกันประหยัดต้นทุน การส่งมอบงานให้ทันเวลา คำนึงถึงความพึงพอใจฯ ความเชื่อถือ ของลูกค้า(Q C D S T) ช่วยกันรักษาประโยชน์ ของบริษัทฯ

     

    ธุรกิจต้องมีการลงทุน ต้องมีการแข่งขัน ร่วมด้วยช่วยกัน ทำงานเป็นทีม ธุรกิจ มีปัจจัยในการดำเนินการ ได้ แก่ 1.คน 2. วัสดุอุปกรณ์   3. เครื่องมือ   4.ระบบการจัดการ  5. ข้อมูลข่าวสาร   6. จริยธรรม ความมีวินัย

     

    ผู้ปฏิบัติงานที่มีหัวใจนักธุรกิจ จึงควรตระหนักอยู่เสมอว่า เวลาเป็นของมีค่า เวลาทำงานไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของลูกค้า ขององค์การ ของเจ้านาย  ต้องทำให้ดีที่สุด

     

     

    สงครามการค้าเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา  ผู้ปฏิบัติงานจึงต้องพัฒนา ให้ตนเองมีวินัยในการทำงาน การปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน  คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมฝีกตนเองให้เป็นผู้ที่แข็ง แกร่ง  กว้างไกล  ฉับไว  มีระบบ 

     

     

    นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติงานควรทราบว่า  จุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจ ก็เพื่อให้บริการแก่ผู้บริโภค และผู้อุปโภค นำผลกำไรมาสู่ผู้ลงทุน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างความอยู่รอดและเจริญเติบโตของธุรกิจนั้น ๆ และเพื่อให้บริการแก่ท้องถิ่น และเสริมสร้างความเจริญแก่สังคม สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นหัวใจของธุรกิจ ที่คนทำงานขายควรต้องทำความเข้าใจ

     

    เมื่อธุรกิจมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ และหลากหลาย องค์การจึงจำเป็นต้องมีแนวคิดทำธุรกิจด้วยทฤษฎี 3 Q คือ

    1. Quality Worker องค์การต้องเลือกสรร และพัฒนาคนให้มีคุณภาพ คนทำงานเองก็ต้องพัฒนาตนให้เป็นคนมีคุณภาพอยู่เสมอ
    2. Quality Organization  เมื่อมีคนที่มีคุณภาพ มาช่วยกันทำงาน จะทำให้เกิดองค์การที่มีคุณภาพตามมา และจะทำให้เกิด Q ตัวที่สามคือ
    3. Quality Service/Product ที่จะนำมูลค่าเพิ่มมาให้องค์การและตัวผู้ปฏิบัติงาน

     

    ทั้งสาม Q จะต้องสอดคล้องต้องรับกัน สัมพันธ์กันเป็นอย่างดี  กล่าวคือ ต้อง INPUT คนที่มีคุณภาพเข้าไป สู่กระบวน PROCESS ทำให้เกิด องค์กรที่มีคุณภาพ OUTPUT ก็จะได้สินค้า บริการที่มีคุณภาพ ลูกค้าได้รับความประทับใจกลับบ้านไปด้วย

    สิงเหล่านี้เป็นแนวคิดพื้นฐานเรื่อง Business Mind ซึ่งยังมีอีกมากในเรื่องนี้ ความรู้ถ้ามากไปในเวลาจำกัด จะทำให้นักเรียนมึนจึงขอฝากไว้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้ปฏิบัติงาน ไว้เพียงเท่านี้ก่อน โดยเฉพาะลูกศิษย์ในโรงเรียนปัญญาภิวัตน์ฯ 7 Eleven พนักงาน ผู้ปฏิบัติงานขาย/บริการ......ทรัพยากรมนุษย์ ที่สร้างได้

     

    เรื่อง คุณภาพคน(Quality Worker) เป็นสิ่งสำคัญ คนที่มีคุณภาพ ตามทฤษฎีทุนในตัวทรัพยากรมนุษย์ ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กล่าวไว้ว่า คนที่มีคุณภาพจะต้องมีทุน 8 อย่าง เรียกว่า ทฤษฎี 8 K’s  ศ.ดร.จีระ ท่านได้กล่าวไว้ว่า ทุนตามทฤษฎี 8 K's มี ดังนี้

     

    1. Human  Capital  หรือ ทุนมนุษย์ คือ ทุนที่ได้มาจากความรู้ขั้นพื้นฐานของการศึกษาเล่าเรียนใสถาบันการศึกษา  ทุนที่ได้มาจากการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูจากบิดา มารดา ซึ่งถือว่าเป็นทุนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องมีมา เมื่อมีพื้นฐานทุนมนุษย์มาดี เมื่อเข้าสู่ระบบการเรียนการสอน เข้าสู่ของสังคม หรือองค์กร ก็จะสามารถต่อยอดทุนมนุษย์สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเอง สังคม องค์กรและประเทศชาติได้เป็นอย่างดี  ทุนมนุษย์จึงเป็นรากฐานที่สำคัญ ที่จะมีผลต่อการพัฒนาทุนด้านอื่น ของมนุษย์

     

     

    2.   Talented  Capital  หรือ ทุนทางความรู้  ทักษะ และทัศนคติ ทุนที่สำคัญและขาดไม่ได้สำหรับทรัพยากรมนุษย์ในยุคนี้ก็คือ ทุนทางความรู้  ทักษะ และทัศนคติ การมีความรู้ ทักษะ และทัศนคติ (Mindset) ที่ถูกต้องในการทำงาน  บุคคลจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ   

     

     

    3.   Intellectual  Capital  หรือ ทุนทางปัญญา   คือ ความสามารถในการคิดเป็น วิเคราะห์เป็น และการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม     บุคคลที่จบปริญญามี Human Capital ใช่ว่าจะมีทุนทางปัญญาหรือ   Intellectual  Capital  เสมอไป  คนที่มีการศึกษาไม่สูงแต่สามารถมีทุนทางปัญญาได้ถ้ารู้จักในการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง และสามารถที่จะนำความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

     

     

    4.   Digital  Capital  หรือ ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ  ผู้มีความรู้ มีปัญญา ย่อมรู้สถานการณ์โลก และให้ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคข่าวสาร และเทคโนโลยี  เป็นโลกาภิวัตน์  ฉะนั้น ในการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ สามารถที่จะพัฒนาและแข่งขันกับนานาอารยประเทศ  จึงจำเป็นที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

     

     

    5.    Ethical  Capital หรือ ทุนทางจริยธรรม บุคคลที่มีความรู้ดี  สติปัญญาดี จะทำให้เกิดทุนทางจริยธรรม ทรัพยากรมนุษย์ ที่มีทุนมนุษย์ ทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม  ก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรหรือประเทศได้อย่างดี  ยิ่งถ้านำเอาความรู้ ความสามารถที่ได้รับไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ย่อมสร้างปัญหาให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น  ฉะนั้น ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงควรให้การปลูกฝัง ทุนทางจริยธรรม ไว้ตั้งแต่เบื้องแรก หรือแทรกเข้าไปในเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่ง

     

     

    6.   Happiness  Capital หรือ ทุนแห่งความสุข  เมื่อมนุษย์มีทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางจริยธรรม ย่อมเป็นผู้มีความสุขได้ง่าย กับทุกสถานการณ์ มนุษย์ทุกคนนี้ล้วนมีความปรารถนาจะทำในสิ่งที่ตนทำแล้วมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นสุขกาย หรือ สุขใจ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะคิด หรือทำสิ่งใดก็ตามก็จะต้องคำนึงถึงความสุขกับสิ่งที่ทำด้วยจึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

     

     

    7.   Social  Capital หรือ ทุนทางสังคม  ทุนทางสังคม หรือ Social  Capital หมายถึงการรู้จักเข้าสังคม การรู้จักวางตัว หน้าที่และบทบาทของตนเองต่อสังคมซึ่งก็จะเป็นการสร้างให้เกิดยอมรับในสังคม เมื่อมนุษย์มีความรู้ มีปัญญา มีจริยธรรม และมีทุนทางความสุขแล้ว ก็กล้าพอที่จะมีการออกสังคม มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนทั่วไปในทางสร้างสรรค์ มีทุนทางสังคมที่ดี

     

     

    8.   Sustainability  Capital หรือ ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนแห่งความยั่งยืนเป็นทุนที่สำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์ เพราะเนื่องจากว่าการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก หากเราไม่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแล้วนั้นเราก็จะไม่สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในโลกยุคไร้พรมแดน 

     

     

    ทรัพยากรมนุษย์ที่มีทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนทางความสุข และมีทุนทางสังคมฯ แล้ว จะทำให้เกิดกระบวนการคิดไกล มีวิสัยทัศน์ และแสวงหาความสุขระยะยาว การตัดสินใจใด ๆ จึงมักคำนึงถึงความยั่งยืน เป็นสำคัญ ทำให้เกิดทุนแห่งความยั่งยืนได้

     

    เรื่อง คุณภาพคน(Quality Worker) ถ้านักปฏิบัติงานโชคดี มีทุนต่าง ๆ ติดตัวมามากก็ถือว่าโชคดี

     

    แต่ถ้านักปฏิบัติงานมีทุนตัวใดตัวหนึ่งน้อย องค์การที่ชาญฉลาด ก็จะมีโครงการฝึกอบรม พัฒนาอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง  และถ้ามีทุนตัวใดตัวหนึ่งมาก ก็แบ่งบันให้เพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมงาน

     

     

    สำหรับ Blog หน้านี้ ขอกล่าวเพียงเท่านี้ก่อน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความสาระนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนปัญญาภิวัตน์ และคณาจารย์ รวมทั้งผู้อ่านทุกท่าน  และถ้านักศึกษาท่านใดสงสัย อยากจะถามเพิ่มเติม ก็ถามมาในเว็ปนี้ได้

     

     

    ในคราวหน้า Blogต่อไปผมจะกล่าวถึง เรื่อง Service Mind พนักงาน ผู้ปฏิบัติงานขาย/บริการ......นักบริการ ที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้อย่างแท้จริง

     

     

    วันนี้ขอลาไปเพียงเท่านี้ก่อน ขอบคุณคณะผู้บริหาร คณาจารย์และนักเรียนโรงเรียนปัญญาภิวัตน์ ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี สิ่งดี เหล่านี้คงประทับใจผมไปอีกนาน เช่นที่อาจารย์ปิยาพร อาจารย์ผู้ทรงคุณค่าที่เคยอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ ทำไว้นานนับสิบปีที่ผ่านมา

     

     

    ขอความสวัสดี จงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

     

     

    ยม

     

    ............................

     

     

    เอกสารอ้างอิง

     

    http://www.chiraacademy.com/ 

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท