Dispute settlement หรือกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นกลไกหนึ่งในการระงับข้อพิพาทที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจบนความต่างกันของสัญชาติและหลายคู่สัญญา ด้วยเหตุที่การประกอบธุรกิจในปัจจุบัน มีรูปแบบที่มีความวับซ้อนมากขึ้น เป็นโครงการใหญ่ใช้เงินลงทุนสูงและปกระกอบไปด้วยการร่วมทุนหลายชาติ เช่น สมมติว่าตั้งโครงการสร้างเขื่อนในประเทศลาว แต่เงินทุนได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น แต่ดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัทของไทย เช่นนี้จะเห็นได้ว่า ประกอบไปด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสามชาติ ซึ่งหากเกิดข้อขัดแย้งขึ้นจะระงับข้อพิพาทได้เช่นไรเป็นปัญหาที่ต้องมีการเตรียมการไว้ก่อน เพื่อลดข้อได้เปรียบเสียเปรียบได้เปรียบซึ่งกันและกันและให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
กรณีศึกษา เช่น ข้อพิพาทการค้าว่าด้วยการอุดหนุนการส่งออกน้ำตาลระหว่างประเทศออสเตรเลีย บราซิล และไทย กับสหภาพยุโรป แม้ว่าสหภาพยุโรปเป็น ผู้ส่งออกน้ำตาลทรายขาวรายใหญ่ในตลาดโลก แต่หากพิจารณาต้นทุนการผลิต ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล โคลัมเบีย มาลาวี กัวเตมาลา และแซมเบีย มีอัตราที่ต่ำกว่ามาก การแทรกแซงอุตสาหกรรมน้ำตาลภายในสหภาพยุโรปนี้ สร้างผลเสียให้แก่ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคภายในสหภาพยุโรป รวมทั้งประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลในตลาดโลก แม้ว่ากติกาการค้าระหว่างประเทศขององค์การการค้าโลก (WTO) กำหนดให้ประเทศภาคีลดการใช้มาตรการการกีดกันทางการค้าและการอุดหนุนสินค้าเกษตร แต่ในทางปฏิบัติสหภาพยุโรปยังคงให้การอุดหนุนผู้ผลิตภายในประเทศ และอุดหนุนการส่งออกในระดับสูงเช่นเดิม น้ำตาลจากสหภาพยุโรปที่ทะลักเข้ามาในตลาดโลกนี้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลอย่างมาก ดังนั้น ประเทศออสเตรเลีย บราซิล และไทย ในฐานะประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลที่ได้รับผลเสียหายจากการนี้ จึงร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องสหภาพยุโรปต่อองค์การการค้าโลก เพื่อให้สหภาพยุโรปลดการอุดหนุนการส่งออกน้ำตาล กระบวนการระงับข้อพิพาทนี้ (Dispute Settlement) เริ่มต้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2546 โดยทั้ง 3 ประเทศร่วมกันยื่นหนังสือขอปรึกษาหารือกับสหภาพยุโรปในกรอบขององค์การการค้าโลก และเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2547 คณะผู้พิจารณาข้อพิพาทขององค์การการค้าโลกประกาศผลการวินิจฉัย ตัดสินให้สหภาพยุโรปยกเลิกการอุดหนุนการส่งออกน้ำตาล สำหรับสถานการณ์ล่าสุด คือ เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2548 สหภาพยุโรปยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยนี้ จึงทำให้องค์กรอุทธรณ์ต้องพิจารณาคำวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาข้อพิพาทอีกครั้ง และคาดว่า กระบวนการนี้จะเสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548
นั่นคือกระบวนการหนึ่งที่ “Dispute Settlement” เข้ามามีบทบาทกับกลไกการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งย่อมเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อเข้ากระบวนการนี้แล้วย่อมต้องเกิดการชี้ขาดว่า ใครถูก – ใครผิด เกิดขึ้น จึงมีข้อเสนอแนะต่อไปว่า ถ้ามีกลไกที่สามารถชะลอหรทอยับยั้ง หรือไกล่เกลี่ยกันก่อนเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทได้ในเบื้องต้นย่อมเป็นการดี
องค์การการค้าโลก เป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวและเห็นควรต้องมีระบบการดูแลและตรวจสอบที่เคร่งครัดเนื่องจากวัตถุประสงค์ขององค์การเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ในทางระหว่างประเทศอันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและก่อเกิดข้อพิพาทได้โดยง่าย
ทั้งนี้ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ในธรรมนูญก่อตั้งขององค์การในส่วน Annex 3 (i) ของข้อตกลงมาราเกส คือ กลไกการควบคุมและตรวจสอบนี้หรือที่เรียกว่า TPRM (Trade Policy Review Mechanisms) ซึ่งได้บัญญัติความมุ่งหมายของมาตรการดังกล่าวโดยก่อให้เกิดการยกระดับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขององค์การและลดข้อขัดแย้งในการเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาท กล่าวคือ เป็นกลไกแรกก่อนที่จะนำข้อพิพาทเข้าสู่กลไกการระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement) กลไกการควบคุมและตรวจสอบนี้ ก่อให้เกิดผลที่สำคัญในทางประกันความถูกต้องและสอดคล้องในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของรัฐสมาชิก นอกจากนั้นเมื่อได้ตรวจสอบโดยใช้กลไกดังกล่าวแล้วย่อมเกิดข้อแนะนำอันนำไปสู่การแก้ไขซึ่งเป็นข้อเสนอแนะจากองค์กรที่มีอำนาจโดยตรง ทำให้รัฐสมาชิกนั้นเกิดความชอบธรรมในการที่จะนำไปเป็นแนวปฏิบัติ ทั้งนี้...เพื่อการประนีประนอมและป้องกันไว้ ย่อมดีกว่าคอยแก้ไข !
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wto.org/english/tratop_e/dispu_e/dispu_e.htm
องค์กรระงับข้อพิพาท ต้องมีลักษณะ หรือหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง
>>>>>>>>
ขอร่วมแสดงความเห็นนะครับ
นอตว่าองค์กรประเภทดังกล่าวจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญและเป็นกลางในปัญหานั้นๆ กล่าวคือต้องมีความรู้ความสามารถ อาจจะเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญหรือนักวิชาการที่มีความรู้เฉพาะทางก็ได้
ส่วนการสรรหานั้นก็ปรากฏว่ามีหลากหลายรูปแบบ คู่สัญญาอาจจะเลือกเอาคนชาติของตนเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการระงับข้อพิพาทก็ได้ หรืออย่างในปัจจุบันที่มีองค์การระหว่างประเทศ ICSID เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทที่มาจากการลงทุน คณะกรรมการระงับข้อพิพาทนี้เปรียบเสมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีองค์คณะเตรียมเอาไว้ให้แล้วในแต่ละกรณีโดยแบ่งแยกไปตามความเชี่ยวชาญขององค์คณะ เมื่อคู่กรณีนำความมาสู่องค์กร ก็ไม่จำเป็นต้องไปสรรหาคณะกรรมการอื่นใดอีก เป็นต้น
ส่วนที่มีความสำคัญที่สุดนั่นคือ "ผลบังคับของคำชี้ขาด" ทำอย่างไรให้คำชี้ขาดสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่รู้สึกว่าเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัว แต่ถึงกระนั้นโดยธรรมชาติของพ่อค้าวาณิชย์ก็ไม่ต้องการให้ผลคำบังคับมีค่าเคร่งครัดอย่างคำพิพากษาของศาล เพราะสัมพันธภาพทางการค้าอาจถูกทำลายลงและไม่สามารถก่อร่างขึ้นมาใหม่ได้โดยง่าย ซึ่งการทำลายลงก็ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
นอต
ปล.เชิญพี่ลิลุยต่อครับ