หยาดน้ำตาบนดอกมะลิ…ที่ไม่ถึงมือแม่


    นายโด่ง เข้ามาทำงานรับจ้างทั่วไปใน กทม. พักอยู่ย่านท่าพระ แถวฝั่งธนบุรี ในเดือนสิงหาคมของทุกปี ไม่ว่าจะมีวันหยุดสั้นยาวแค่ไหน เขามักจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ในวันแม่ 12 สิงหาคม ทุกๆปี

    ในเดือน สิงหาคม  พ.ศ.2544 วันแม่ตรงกับวันอาทิตย์ และนายจ้างของเขาก็ไม่ยอมหยุดชดเชยให้ในวันจันทร์ เมื่อเลิกงานในตอนเย็นวันศุกร์ที่ 10 ส.ค.เขารีบกลับที่พัก จัดกระเป๋าแล้วออกมายืนรอรถไปหมอชิต ในระหว่างที่รอ เขาพบคนหูหนวกถือถาดอะไรสักอย่างเดินตรงมาที่เขา แต่เขาไม่สนใจมากนัก คงจะถือถาดขนมมาเร่ขายตามเคย แต่ชายหูหนวกคนนั้นเดินมาหาเขาพร้อมกับชูป้ายแล้วจ้องหน้าเขาแบบยิ้มๆ

“ดอกมะลิวันแม่ สมทบทุนของสมาคมคนหูหนวก”

    เมื่อเขามองเห็นครั้งแรก เขาก็ส่ายหน้า แต่ชายหูหนวกยังคะยั้นคะยอให้เขาดูอีกครั้ง ในถาดเป็นพวงมาลัยดอกมะลิในเทศกาลวันแม่ เขาจึงเลือกซื้อพวงที่ดีที่สุดพวงหนึ่ง เอาไปฝากแม่.. ตั้งแต่เกิดมา เขาก็ยังไม่เคยให้ดอกมะลิแก่แม่ของเขาเองสักครั้ง

    ค่ำวันศุกร์ที่ 10 ส.ค. 2544 ผู้คนคลาคล่ำเต็มสถานีหมอชิต เขาไม่สามารถเบียดเข้าไปซื้อตั๋วได้เลย เพราะคนยืนรอกันเต็ม

    หลังจากที่รอถึงตี 2 รถโดยสารเสริมยังคงวิ่งเข้ามาสถานีหมอชิต แต่คนก็ยังแน่นเหมือนเดิม แต่ก็พอจะมีที่ยืนเบียดบนรถอยู่บ้าง เขาจึงตัดสินใจขึ้นรถคันนั้นกลับสู่บ้านเกิดของเขาทันที

    หมู่บ้านของโด่งอยู่ในเทือกเขาเพชรบูรณ์ มองเห็นภูหินร่องกล้าอยู่ใกล้ๆ เป็นหมู่บ้านที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง แม้ในวัยทำงานเขาจะต้องมาทำงานใน กทม. แต่เมื่อมีเวลาเขามักจะกลับบ้านเสมอ

    ตี 2 ครึ่ง รถโดยสารคันที่เขาขึ้นยังไปไม่ถึงดอนเมืองเสียด้วยซ้ำ การจราจรขาออกมักติดขัดเสมอในช่วงเทศกาล

    เดือนสิงหาคม เป็นช่วงฤดูฝน ช่วงนี้มีฝนตกหนักมาตลอด 3-4 วัน แต่พ่อ แม่และชาวบ้านในหมู่บ้านของเขาก็ยังคงออกทำไร่นาตามปกติ พอพลบค่ำก็เข้าบ้านนอนหลับอย่างมีความสุข เป็นวงจรแบบนี้มานานหลายปีแล้ว

    ในเขตเทือกเขาเพชรบูรณ์ ฝนตกตลอด ช่วงใกล้สว่างราวตี 4 กว่าๆของวันที่ 11 ส.ค. จู่ๆบ้านชั้นเดียวของโด่งก็สั่นสะเทือนไปทั้งหลังราวกับมีคนมาจับเขย่า หลายคนไดเยินเสียงกระแสน้ำไหลลงมาอย่างรุนแรงจากเทือกเขาภูหินร่องกล้า มีใครบางคนตกใจตื่น ตะโกนว่าน้ำป่ากำลังมา หลายคนไม่ค่อยเชื่อเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่หลายคนก็กำลังจะลุกขึ้นมาดู จู่ๆ กระแสน้ำไม่รู้ว่ามาจากทางไหนบ้าง ได้กระแทกตัวบ้านจนพัง น้ำได้พัดพาท่อนซุงและต้นไม้ขนาดใหญ่ลงมาด้วย ซุงบางต้นชนเสาบ้านเสียบเข้าไปทั้งต้น บ้านส่วนใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างไม่แข็งแรงมากนักไหลไปตามกระแสน้ำ คนที่ยังติดอยู่กับตัวบ้านก็ลอยไปกับตัวบ้าน หลายคนหลุดออกมาได้สำเร็จก็พยายามลอยคอเข้าหาฝั่ง ขณะนั้นฟ้ามืดมองอะไรไม่เห็น หลายคนโดนกระแสน้ำพัดไปปะทะต้นไม้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงมแข่งกับเสียงของกระแสน้ำ ท่วมกลางความมืดมิด แต่ไม่มีใครช่วยใครได้

    เช้ามืด 11 ส.ค. ทั้งหมู่บ้านกลายเป็นทะเลโคลน อาสาสมัครเดินทางเข้าไปในพื้นที่ด้วยความยากลำบาก พบซากปรักหักพังของบ้านเรือนนับร้อยๆหลัง ห่างจากหมู่บ้านออกมา พบศพติดบนต้นไม้ ศพเกยริมถนนบ้าง หลายศพไม่มีเสื้อผ้าติดร่าง คาดว่า ความแรงของกระแสน้ำทำให้เสื้อผ้าหลุดหายไปหมด อาสาสมัครจึงนำศพมาไว้ที่วัดสินติวิหาร ส่วนผู้รอดชีวิตเข้าไปพักที่โรงเรียนบ้านน้ำก้อ

    16.00 น. 11. ส.ค. นายโด่งพึ่งเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านของตน เขาได้พบกับผู้คนแปลกหน้ามากมาย มีรถยนต์เข้ามายังหมู่บ้านของเขาทั้งกระบะ 4 ล้อ 6 ล้อ แถมมีไทยมุงแห่กันมาดูสภาพหมู่บ้านที่เกิดขึ้นด้วย

    โด่งพยายามตามหาครอบครัวของเขา แต่ดูทุลักทุเลเหลือเกิน มีแต่ผู้คนเต็มไปหมด บางแห่ง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้เข้าไป เมื่อเขาเจอคนรู้จัก ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าใครอยู่ที่ไหนกันบ้าง

    เช้าวันที่ 12 จำนวนศพที่พบมากขึ้นเริ่มส่งกลิ่นเหม็น ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่จึงนำเอายางรถยนต์และท่อนไม้มาสุมกองรวมกัน เอาโลงศพวางข้างบน ราดน้ำมันและจุดไฟเผาทันที ส่วนศพของเด็กก็ใช้วิธีฝัง

    โด่งได้เดินดูศพทุกศพ แต่ไม่พบศพของพ่อกับแม่ของเขาเลย ตั้งแต่เช้าจนเกือบค่ำ เขาหวังว่า พ่อกับแม่ของเบาจะยังคงมีชีวิตอยู่ เขาจึงรีบมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนบ้านน้ำก้อ ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงพี่สาวของเขาตะโกนเรียกเขาด้วยความดีใจ ทั้งคู่โผเข้าหากันด้วยความยินดี เมื่อถามถึงพ่อกับแม่ พี่สาวบอกว่าก็กำลังตามหาอยู่เช่นกัน

    เมื่อทั้งคู่เดินมาได้สักพัก ก็พบพ่อของเขากำลังช่วยเจ้าหน้าที่ขนศพอยู่ ทั้งคู่จึงโผเข้าหาพ่อด้วยความดีใจ สักพัก โด่งก็เหลือบไปเห็นหลังของแม่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก

    เมื่อกลับมาเห็นสภาพหมู่บ้านในตอนแรก เขากลัวว่า วันแม่ปีนี้เขาจะไม่ได้พบหน้าแม่เหมือนวันแม่ปีก่อนๆ กลัวจะไม่ได้เอาดอกมะลิให้แม่ แต่ตอนนี้เขาเห็นแม่อยู่ใกล้ๆเขาแล้ว เขารีบโผเข้าหาแม่ทันที

“แม่..” พูดพลางยื่นดอกมะลิใส่มือแม่

    สักพักผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา พร้อมคืนดอกมะลิในมือให้โด่ง เมื่อมองหน้าโด่ง น้ำตาก็เริ่มไหล สายตาของเธอมองไปที่ศพที่อยู่ใกล้ๆ ….เป็นศพของแม่ของโด่งนั่นเอง….

******************

    เมื่อเกิดภัยทางธรรมชาติ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ การรับบริจาคเงิน สิ่งของ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นหรือ เมื่อสภาพธรรมชาติ ความสมดุลระหว่างป่าไม้ ภูเขาและพายุฝนหายไปเรื่อยๆ…..


หมายเลขบันทึก: 43716เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2006 13:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 11:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • อ่านแล้วแทบน้ำตาไหล ทุกข้อความช่างเป็นสิ่งที่กัดกินหัวใจ
  • หัวใจน้อย ๆ ของลูกทุก ๆ คน ที่พูดคำว่า "รักแม่"
  • "แม่" ทำให้เราได้ทุกอย่าง แต่เราทำให้แม่ได้แล้วกี่อย่าง
  • ค้นถึงจิตแสนห่วง พะวงหา
  • เมื่อไหร่หนาจะได้กลับถึงบ้านเรา
  • บ้านที่แสนสุขพร้อมหน้าด้วยพวกเรา
  • บ้านหลังจากที่พวกเราอยู่ด้วยกัน........
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท