วันนี้ผมคุยกับตูนเรื่อง ผมเขียนบล็อกเรื่องลูก ตูนบอกว่าตอนนี้ตูนแยกบล็อกออกมาแล้ว ว่าคนที่เขียนเรื่องงานอยู่พลาเน็ตหนึ่ง คนเขียนเรื่องลูกอยู่อีกพลาเน็ตหนึ่ง ผมเลยบอกกับตูนว่า “อย่าไปแยกเล้ยให้มันอยู่ปนเปกันไปอย่างนี้แหละ” ในความคิดของผม ผมว่าชีวิตกับงานแยกกันไม่ออก บางคนอาจจะทำได้ที่ทำให้รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของเราดูสดใส ชีวิตมีมีปัญหา ผมว่าบางครั้งเบื้องหลังรอยยิ้มอันสดใส มันก็มีรอยเปื้อนของคราบน้ำตาเจืออยู่
ผมเคยนึกอยู่หลายครั้ง ว่าผมควรจะเขียนบันทึกเรื่องลูก เรื่องครอบครัวดีไหม หรือว่าเราควรจะปิด ความคิดและความรู้สึกตรงนี้ไว้กับตัวเรา ไว้กับครอบครัว เก็บเรื่องนี้ไว้ให้เป็นฉากหลังของชีวิต แต่ผมจำได้ว่า เบื้องหน้ารอยยิ้มของแม่ที่คอยดูแลชีวิตของเรา ดูเหมือนท่านมีความสุข แต่พอผมได้เจอบันทึกของแม่ที่เขียนบันทึกถึงความทุกข์ในใจของท่านที่ท่านไม่ได้ระบายออกมาให้ลูกเห็น ผมจำได้เลยว่ามองเห็นรอยคราบน้ำตาที่อาบลงบนสมุดบันทึกของแม่ แล้วทำให้รู้เลยว่าแม่เศร้าและมีความทุกข์ใจเพียงใด ทำให้ผมเข้าใจแม่มากขึ้น และรักท่านมาก
ผมจึงนึกว่าบันทึกนี้ผมเขียนไว้ เหมือนกับการที่ได้กลั่นกรองความรู้สึกนึกคิดออกมาร้อยเรียงผ่านตัวอักษร เหมือนเราได้บำบัดความรู้สึกของเราไปด้วย
ตอนเช้าวันนี้ก่อนเข้าไปเป็นผู้นำสรุป กิจกรรมการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาบัณฑิตอุดมคติไทย อ.สมลักษณ์ ได้เข้ามาคุยกับผมเรื่องบันทึกที่ผมเขียนเรื่องลูก ตอนแรกผมฟังเหมือนอาจารย์พยายามจะปลอบใจผม ไม่ให้เคร่งเครียดไปกับเรื่องของลูก แต่ฟังไปฟังมา กลับกลายเป็นว่า อาจารย์สมลักษณ์เองก็มีปัญหาพ่อกับลูกชายเหมือนกัน ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่มีปัญหาคล้ายๆ เรา เราก็คุยกันอีกหลายเรื่อง และอาจารย์ยังให้ข้อแนะนำดีๆ ให้กับผมในหลายๆ เรื่อง ทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ผมคิดไม่ผิดที่ผมเขียนเล่าเรื่อง ที่น่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของงาน ปนเปอยู่ในบันทึกเรื่องของงาน เพื่อให้คนอื่นได้เห็นภาพชีวิต ของคนคนหนึ่ง ซึ่ง อ.สมลักษณ์ ก็ยังบอกว่า การเขียนอย่างนี้ดีที่จะทำให้เรารู้จักกันและกัน รู้จักเพื่อน เหมือนกับที่ผมรู้สึกประทับใจในบันทึกของคุณเมตตา "แค่เปิดใจยอมรับ ความสุขมาเป็นกอง" มากๆ ที่ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกหว้าเหว่ และทำให้ผมได้รู้ว่าจะมีเพื่อน มีครอบครัวอีกมากมายที่ไม่สามารถแยกชีวิตออกจากงานได้เหมือนกัน
เรียน อาจารย์รุจโรจน์ ครับ
ผมเห็นดีด้วยกับอาจารย์ โดยประสบการณ์เขียนบันทึกผมเองครับ ตอนแรกบันทึกของผมก็คิดว่าจะแยกออกเป็นส่วนๆงานและความสนใจสนตัว
แต่พอเขียนแล้ว ไม่อยากแยกครับ เป็นความรู้สึกที่ต่อเนื่อง เหมือนไดอารี่ที่มีชีวิต มีหลากรสชาด มีพัฒนาการในส่วนความรู้สึก เมื่อเทียบกับบันทึกแรกๆที่ผมเขียนไป กับวันนี้แตกต่างกันพอสมควร ...ครับ
ผมมี๒ Blog แต่อีก Blog ก็ไม่ค่อยได้เข้าไปเขียน
มองว่า วันหยุดผมเขียนเรื่องสบายๆ เที่ยว เฮฮา ตามประสาหนุ่มโสด
พอวันธรรมดา เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องแลกเปลี่ยนบ้าง
ผมเขียนออกแนวอาจจะดูวิชาการบ้างเล็กน้อยในวันธรรมดา ก็เพราะอยากต่อยอดและอยากเรียนรู้ เพิ่มจากผู้รู้ทั้งหลายที่โลดแล่นในGotoknow
สิ่งที่ผมเห็นอย่างหนึ่ง คือ ทุกคนรู้จักผมดีขึ้น เพราะบันทึกเองก็บอกบุคลิกของผม บอกตัวตนผม ผมเริ่มมีเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆครับ
Blog คือ ชีวิต
ชีวิตก็อยู่ในBlog
บอกถึงความเป็นผมเองครับอาจารย์
KM and Success or Failure Story
No matter with lesson learn from failure or success,we must all consider "HOW TO".
เข้ามาเป็นกำลังใจให้อีกคนคะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
อ่านแล้ว รู้สึกมีเพื่อนค่ะ
เพราะดิฉันมีบล็อกเดียว จะเปิดอีกบล็อก ก็อาจจะสับสนเสียเอง
บางที เรื่องมันก็เกี่ยวพันกันค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์หนึ่ง
ชีวิตกับงานเป็นส่วนสนับสนุนกัน เรื่องลูกสำคัญมากในความรู้สึกฃองคนที่เป็นพ่อ แม่ โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นความสำเร็จของลูกๆ มันคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ เป็นการเติมพลังให้เรามีแรงทำงานต่อไป
แลกเปลี่ยนนะค่ะ
จาก ..ศิษย์ลูกสาม
อย่างไรเราก็แยกชีวิตส่วนตัวของจากชีวิตการทำงานไม่ได้
แม้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคนละส่วนกันแต่ทั้งสองส่วนนี้ก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่
ถ้าชีวิตส่วนตัวไม่ดีก็จะทำให้ชีวิตการทำงานพลอยไม่ดีด้วย
หรือว่าชีวิตการทำงานไม่ดีก็จะพลอยฉุดชีวิตส่วนตัวให้ตกต่ำลงไป
อย่าแยกชีวิตออกจากงานเลยครับ
สวัสดีครับ อาจารย์
ขอบคุณครับ อาจารย์ :)
เรื่องลูกๆหลานๆ สำคัญเพราะเราต้องผูกพันทุกเมื่อเชื่อวัน วันนี้หลานๆมาเล่นอินเตอร์เน็ตที่บ้าน เด็กมัธยม 1 เค้าอ่านนิยายทางอินเตอร์เน็ต ใน dek-d.com/writer/