ชีวิตที่พอเพียง : 83. อาจารย์ที่จุฬาฯ


        อาจารย์ที่สอนแล้วเฮฮาที่สุด คืออาจารย์ทองศุข พงศทัต สอนวิชาเคมีตอนเรียนปี ๒     ท่านมีหนังสือให้อ่านอยู่แล้ว     ดังนั้นเมื่อเข้าห้องเล็คเช่อร์ท่านจะเล่าเรื่องความรู้รอบตัว เรื่องตลกสัพเพเหระ ประมาณ ๔๐ นาที    พอเหลือ ๑๐ นาทีสุดท้ายก็เข้าเรื่องสาระวิชาเคมี     สอนประเด็นสำคัญๆ และบอกให้ไปอ่านหนังสือหน้าไหน  

       ครั้งหนึ่งท่านสอนวิธีควงผู้หญิง     ว่าเวลาเดินผู้ชายต้องเดินฝั่งนอกถนน    เผื่อรถชนจะได้ชนเราก่อน    จึงจะถือว่าเป็นเย็นเติลแมน  

       ท่านสอนวิธีใช้ส้วมชนิดโถนั่ง    ว่าอย่าขึ้นไปนั่งยองๆ บนโถนั่ง     ต้องเอาที่รองก้นลง แล้วฉีกกระดาษชำระรองที่นั่งเสียก่อน    เพราะคนใช้ส้วมก่อนเราก้นอาจเป็นขี้กลาก เราจะได้ไม่ติด   

        อีกครั้งหนึ่งท่านเล่าเรื่องระบบสุขาภิบาลของเมืองนอก     ว่าเขาให้อุจจาระจากส้วมไหลไปตามท่อ ไปที่โรงงาน     มีการเอาอุจจาระไปทำประโยชน์หลายอย่าง ส่วนที่เป็นเส้นใยเขาเอาไปทำหมวก     ท่านจะเล่าเชิงตลกทีเล่นทีจริง   จนบางเรื่องเราหัวเราะจนจับไม่ได้ว่าเรื่องจริงหรือหลอกเล่น    แต่ที่เรารู้แน่คือไม่ออกข้อสอบ   

        อาจารย์ที่สอนเข้าใจยากที่สุดคือศาสตราจารย์หลวงศรีสมรรถวิชากิจ สอนวิชา บ็อตตานี่ (Botany - พฤกษศาสตร์)     พวกรุ่นพี่เล่าว่าท่านไม่รู้ตัวว่าสอนเข้าใจยาก จนลูกสาวของท่านเข้ามาเรียนที่จุฬาฯ     ลูกสาวจึงบอกว่าพ่อสอนไม่รู้เรื่องเลย     ลูกสาวคนนั้นคือ ศ. พญ. จาดศรี (หัพนานนท์) ประจวบเหมาะ

       อาจาย์ที่สอนเข้าใจยากอีกท่านหนึ่งคืออาจารย์เพ็ง โสมนะพันธุ์  สอนวิชาฟิสิกส์    การเรียนจะเรียนเนื้อทฤษฎีล้วนๆ ไม่มีการยกตัวอย่างของจริง ทำให้เข้าใจยากมาก    และสมัยนั้นเครื่องช่วยเรียนช่วยสอนที่เรียกว่า Audio-visual Aids ไม่มีเลย      การเรียนสมัยนั้นจึงยากกว่าสมัยนี้มาก    แต่พูดอย่างนี้อาจผิด    การเรียนสมัยนี้ก็ยากในแง่ที่เนื้อความรู้มันมากเหลือเกิน    

       เขาจัดให้เรียนวิชาภาษาอังกฤษทั้งในปี ๑ และ ปี ๒     แต่เพื่อนๆ เขาไม่เรียนกัน    เขาโดดเรียน     น่าสงสารอาจารย์มากที่ในชั่วโมงเล็คเช่อร์ภาษอังกฤษมีนิสิตมาเรียนแค่ ๒๐ คน จาก ๒๐๐ คน    มาอยู่จุฬา ๒ ปี ความรู้ภาษาอังกฤษของผมไม่ดีขึ้นจากตอนจบมาจากโรงเรียนเตรียม   

       ระบบการเรียนสมัยนั้นมี ๓ อย่าง คือ เล็คเช่อร์   แล็บ   และติว    เวลาติวแยกติวเป็นหมู่     อาจารย์ติวมักเป็นอาจารย์เด็กๆ และใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเรามากกว่าอาจารย์ผู้ใหญ่มาก    ท่านแนะนำทั้งวิธีเรียน  ตอบคำถาม  และเก็งข้อสอบให้    ผมสังเกตว่าอาจารย์ติวมักเกร็งๆ พวกผมซึ่งถือเป็นเด็กเรียนเก่ง     อาจารย์ติวบางคนสนิมสนมกับพวกเรามากถึงกับชวนไปกินข้าวที่บ้านก็มี

        อาจารย์สาวๆ บางคนถูกจับให้เล็คเช่อร์ และถูกนิสิตถาม     ถามวกวนมากเข้าอาจารย์งงจนระเบิดอารมณ์ด่านิสิตก็เคยมี     ท่านคงคิดว่านิสิตคิดลองของท่าน   

        คนที่มีส่วนช่วยเหลือการเรียนของพวกเรามีอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า "แล็บบอย" เวลานี้เรียกว่านักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการ

    เวลานี้มักเป็นผู้จบปริญญาตรี     แต่สมัยนั้นเป็นคนไม่มีวุฒิ แต่บางคนอยู่มานานและฉลาดเฉลียว  แนะนำวิชาความรู้บางเรื่องแก่เราได้     บางคนทำ ชีท เฉลยข้อสอบขายพวกเรา     หรือทำเล็กเชอร์โน้ตบางวิชา/บางตอน ขาย     ผมใช้ภาษาที่เราใช้กันในสมัยนั้นในการเล่าเรื่องตอนนี้

       อาจารย์ที่ด่านิสิตบ่อยที่สุดคืออาจารย์หลวงพรสมิทธิ์วิชาการ คุมแล็บเคมี     ท่านด่าเสียงดังด้วยถ้อยคำรุนแรง แสดงอารมณ์โกรธรุนแรงมาก    มีเพื่อนเล่าวีรกรรมของท่านที่ผมไม่นำมาบันทึก    

วิจารณ์ พานิช
๙ กค. ๔๙

หมายเลขบันทึก: 43395เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2006 13:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

     ติดตามด้วยความสนใจครับ .. อ่านแล้วทำให้อยากเขียนถึงครู-อาจารย์ในอดีตบ้าง  เพราะมีหลายแบบเหมือนกัน บางท่านมีอิทธิพลขนาดทำให้เราถึงกับต้องเปลียนเส้นทางชีวิตก็มี  ... ขอบพระคุณครับ

พิสูจน์อักษร พบที่พิมพ์ผิด 1 จุดเล็กๆครับ

     "... อาจารย์ติวบางคน สนิมสนม .. "

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท