ทีมนักวิจัยไบโอเทคร่วมกับทีมนักวิจัยจากจุฬาฯ สังเคราะห์สาร "โอเซลทามิเวียร์ฟอสเฟต" ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสไข้หวัดนกได้สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการ พร้อมพัฒนาสู่การผลิตยาทามิฟูลในระดับอุตสาหกรรมต่อไป ด้านองค์การเภสัชกรรมประกาศพร้อมผลิตยาต้านไวรัสไข้หวัดนกราคาเม็ดละ 70 ถูกกว่ายาทามิฟูลกว่าเท่าตัว พร้อมสำรองวัตถุดิบผลิตได้รวม 1 ล้านเม็ดหากฉุกเฉินผลิตได้ทันทีวันละ 4 แสนเม็ด
วันนี้ (3 ส.ค)
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ร่วมกับ
กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และนักวิจัยจาก
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแถลงข่าว
“ความสำเร็จการสังเคราะห์ยาต้านไวรัสไข้หวัดนก” ณ กระทรวงวิทย์โดยมี
ดร.ประวิช รัตนเพียร รักษาการ รมว.วท.และ
นายอนุทิน ชาญวีรกุล รักษาการ รมช.สธ.เป็นประธาน พร้อมด้วย
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผอ.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.,
รศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการรองผู้อำนวยการ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค), รศ.ดร.ธีรยุทธ วิไลวัลย์ นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
ดร.ชะวะนี ทองพันชั่ง นักวิจัยจากไบโอเทค ร่วมแถลงข่าว
แม้ว่าประเทศไทยจะมีการผลิต
ยาโอเซลทามีเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดนกได้อยู่แล้ว แต่ยังจะต้องสั่ง
"สารตั้งต้น" หรือ
"วัตถุดิบ" จากประเทศอินเดีย ซึ่งนักวิจัยทั้งของ วท.และ สธ. รววมทั้งสถาบันต่างๆ ได้ร่วมกันคิดค้นสมุนไพร หรือสูตรยาอื่นๆ ที่สามารถหาได้ในประเทศไทยเพื่อผลิตยาดังกล่าวไว้ใช้ในประเทศ และก็สามารถทำได้สำเร็จ
ทั้งนี้ ดร.ธีรยุทธ นักวิจัยจากจุฬาฯ ได้กล่าวถึงวิธีการสังเคราะห์ยาต้านไวรัสไข้หวัดนกขึ้นเองว่า การสังเคราะห์ "โอเซลทามิเวียร์" มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เหมาะสมในทางปฏิบัติมีอยู่ 3 วิธี โดย
1.เริ่มต้นจากสารตั้งต้นตัวเดียวกันคือ “กรดชิกิมิค” ที่สกัดจากดอกโป๊ยกั๊ก ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในการสังเคราะห์ระดับอุตสาหกรรม จะทำให้ได้ผลผลิตค่อนข้างสูง มีขั้นตอนการสังเคราะห์ค่อนข้างง่ายและสั้น แต่ในขั้นตอนการสังเคราะห์แบบนี้จะมีการใช้สารจำพวกเอไซด์ ซึ่งไวต่อปฏิกิริยาสูงมาก ทำให้ต้องจัดการด้วยความระมัดระวังมาก
ส่วนอีก 2 วิธีจะเป็นวิธีต่อจากวิธีแรก และไม่มีการใช้สารประกอบจำพวกเอไซด์อีก อย่างไรก็ดี โอเซลทามิเวียร์เป็นยาที่มีราคาสูง และเป็นที่ต้องการของท้องตลาดมาก เนื่องจากหลายประเทศมีแผนการที่จะกักเก็บยาเพื่อใช้การรองรับการระบาดใหญ่ของไข้หวัดนก
ด้าน
พล.ท.นพ.มงคล จิวะสันติการ ผอ.อภ.กล่าวถึงความคืบหน้าของการผลิตยาต้านไวรัสไข้หวัดนกหรือ GPO-A-Flu ว่า ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมมีความพร้อมในทุกๆ ด้านเกี่ยวกับการผลิตยาดังกล่าว โดยมีการสำรองวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตยา ซึ่งองค์การเภสัชกรรมได้ผลิตเป็นยาในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว และพร้อมผลิตในระดับอุตสาหกรรมต่อไป
ทั้งนี้
องค์การเภสัชกรรมได้ผลิตเป็นยาสำเร็จรูปแล้วประมาณ 200,000 เม็ด และได้นำไปวิเคราะห์เทียบสรรพคุณกับยาต้นแบบโดยการทดสอบการละลายของตัวยา ทดสอบความคงตัวของยาเพื่อกำหนดอายุของยา และขณะนี้ได้ส่งยาดังกล่าวให้ทางศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อทำการศึกษาชีวสมมูลของยาเทียมกับยาต้นแบบ และส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อขอขึ้นทะเบียนยาต่อไป
“คาดว่าองค์การเภสัชกรรมจะสามารถผลิตและ
กระจายยาผ่านระบบสาธารณสุขไปสู่ประชาชนได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2549 โดยจำหน่ายในราคาเม็ดละ 70บาท (ผู้ป่วยต้องรับประทานยาคนละ 10 เม็ด) ซึ่งมีราคาถูกกว่ายาต้นแบบเกือบหนึ่งเท่าตัว ทั้งนี้ หากเกิดภาวะวิกฤตมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกที่รุนแรง องค์การเภสัชกรรมก็สามารถผลิตยาดังกล่าวได้ โดย
มีกำลังการผลิต 400,000 เม็ดต่อวัน หากเกิดการระบาดก็สามารถที่จะนำยาไปใช้ได้ทันที” พล.ท.นพ.มงคล กล่าว
อย่างไรก็ดี ดร.ประวิช กล่าวถึงแนวนโยบายเพื่อรับมือต่อการะบาดของโรคไข้หวัดนกว่า ปัจจุบันการระบาดของไวรัสไข้หวัดนก สายพันธุ์ H5N1 มีความสามารถในการแพร่กระจาย ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งนี้
การเตรียมความพร้อมในการสำรองยาต้านไวรัสเพื่อรองรับการระบาดใหญ่มี 3 แนวทาง คือ การซื้อยาสำเร็จรูป การซื้อวัตถุดิบมาพัฒนาเป็นยาสำเร็จรูป และการสังเคราะห์ยาเองในประเทศ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือวิจัยอย่างจริงจัง และได้สนับสนุนโครงการวิจัยในการพัฒนาวิธีการสังเคราะห์โอเซลทามิเวียร์ในระดับห้องปฏิบัติการ โดย สวทช.ได้ร่วมมือกับ อภ.และ สธ.เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาการสังเคราะห์โอเซลทามิเวียร์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรมต่อไป
"ปัจจุบันหลายประเทศมีแผนในการกักเก็บยาโอเซลทามิเวียร์เพื่อใช้ในการรองรับการระบาดใหญ่ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงจากการเกิดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกสูง ดังนั้น
งานวิจัยนี้ได้แสดงถึงความพร้อมในการรับมือการแพร่ระบาดที่อาจจะเกิดได้ในวงกว้าง และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความเป็นไปได้ในการสังเคราะห์ยาโอเซลทามิเวียร์ เพื่อการพึ่งพาตนเองในกรณีที่เกิดการแพร่ระบาดขึ้นควบคู่กันไป" ดร.ประวิช กล่าว