ตั้งแต่ได้รับโอกาสให้ไปอ่านบทความเรื่อง From Deficit Discourse to Vocabularies of Hope : The Power of Appreciation ของ James D. Ludema ซึ่งเป็นบทสุดท้ายของหนังสือ เนื่องจากเป็นน้องใหม่ของสคส. ดิฉันก็นั่งคิดว่าถ้านำเสนอเฉพาะตัวเนื้อหา ผู้ฟังก็จะได้รับประโยชน์จากการลปรร.ครั้งนี้น้อย แต่ถ้าจะนำเสนอสิ่งที่ผู้ฟังควรทำความเข้าใจก่อน เพื่อนำเข้าสู่เนื้อหาของบทความนั้น จะทำได้ด้วยวิธีใด
เนื่องจากดิฉันมีความรู้ทางด้านวิจิตรศิลป์ และมานุษยวิทยา เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจต่อเรื่องราวต่างๆ ประกอบกับว่ามีประเด็นสำคัญที่ผู้ฟังน่าจะได้รับทราบก่อน คือ·
บทความนี้เป็นภาคสลาย โต้แย้ง วิธีคิดที่เรียกว่า “Deficit Discourse” ซึ่งเป็นผลผลิตของยุคอุตสาหกรรมที่เน้นการมองหาข้อบกพร่อง เพื่อนำไปสู่การแก้ไข (ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง ซ่อมแซมเครื่องจักร แต่นำมาใช้กับคนไม่ได้) ผู้เขียนได้แนะนำให้ใช้ถ้อยคำที่สร้างให้เกิดความหวัง และได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Hope และ AI ที่มีต่อกัน เพื่อสร้างกระแสให้เกิดการคิดเชิงบวก และใช้พลังจากความชื่นชมยินดีนั้นผลักดันให้เกิดการสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต (นำสู่การทำดี พูดดี คิดดี ) ดิฉันจึงมีความคิดที่จะใช้งานศิลปะในยุคสมัยต่างๆ มาเป็นสื่อเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ ในประเด็นที่ได้กล่าวมาแล้ว
ภาพแรก Impression Sunrise ของ Monet, 1872 เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ
เป็นภาพที่ศิลปินถ่ายทอดความประทับใจในแสงและสียามเช้า ด้วยการป้ายสีแต่เพียงหยาบๆ เพื่อเก็บรักษาบรรยากาศในขณะนั้นเอาไว้
วิธีวาดภาพเช่นนี้ ทำให้แนวการวาดภาพเหมือนจริงที่มีมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นสิ่งเก่า ล้าหลัง เพราะจำกัดขอบเขตของการถ่ายทอดผลงานเอาไว้เฉพาะแค่สิ่งที่ตาเห็น
สิ่งที่ทำให้ศิลปิน และผลงานของเขาเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่คือ ความรู้เกี่ยวกับจักษุประสาท ในเรื่องสี และแสง ที่ก่อให้เกิดรูปทรงต่างๆขึ้น ศิลปินกลุ่มนี้เห็นด้วยกับหลักทฤษฎีเรื่องสี และแสง ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ และได้ทดลองนำเอาความรู้นี้ไปสร้างสรรค์เป็นผลงานรูปแบบใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกนี้มาก่อน
งานศิลปะที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เป็นงานที่ต้องการความละเอียด ประณีต ดังตัวอย่างที่จะแสดงให้เห็นดังต่อไปนี้
www.sunsite.sut.ac.jp/wm/paint/auth/monet/first/impression/impression.jpg
ภาพที่สอง Study of head of Leda ของ Leonardo da Vinci, c.1505 – 7 เทคนิคดินสอบนกระดาษ
ดาวินชี เป็นศิลปินที่นำเอาความรู้ในเรื่องกายวิภาคของมนุษย์ เข้ามาช่วยให้งานศิลปะมีความสมจริงมากขึ้น แม้ว่าภาพนี้จะเป็นเพียงภาพร่างที่เข้าวาดขึ้นเพื่อการศึกษา แต่ก็จะเห็นได้ว่ามีความละเอียดงดงามตามแบบฉบับของงานในยุคคลาสสิคทุกประการwww.visi.com/~reuteler/leonardo.html
ภาพที่สาม Discobolos (คนขว้างจักร) ของ Myron, c. 450 B.C. ประติมากรรมรูปหล่อสัมฤทธิ์
กรีกเป็นชนชาติที่นิยมในความเป็นมนุษย์ ไม่มีผลงานของมนุษย์ในยุคสมัยใดที่จะให้อิทธิพลต่อสมัยหลังอย่างมากมายเช่นผลงานของชนชาติกรีก ซึ่งเป็นชนเผ่าอินโดยูโรเปียน ที่เรียกตนเองว่า เฮเลนนิส (Helenes)
ศิลปะกรีกนำความงามบริสุทธิ์ของร่างกายมนุษย์ ไปสร้างให้เป็นความงามของเทพเจ้าผู้ไม่มีตัวตน และได้สร้างกติกาของความงามขึ้นมา เพื่อบอกว่าความงามในอุดมคติเป็นความงามที่อยู่เหนือโลก ความงามที่ศิลปะจำลองไว้ได้ก็ยังเป็นความงามที่จำลองมาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันที่จะงดงามเท่า ความงามในสายตาของกรีกเป็นสิ่งที่ต้องการสัดส่วนเฉพาะ ต้องการความประณีต ต้องการมุมมองที่จะแสดงความงามนั้นออกมา ดังตัวอย่างที่นำมาเสนอwww.mlahanas.de/Greeks/Arts/Discobolos.htm
ภาพที่สี่ One Hundred Cans ของ Andy Warhol, 1962 เทคนิคภาพพิมพ์บนกระดาษ
วอร์ฮอล์เป็นผู้นำเอาความธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไปในยุคอุตสาหกรรม เช่น กระป๋องโลหะมาให้คุณค่าใหม่ว่า นี่คืองานศิลปะ ภาพกระป๋องที่เกิดจากการผลิตซ้ำ ที่มีฉลากที่เกิดจากการผลิตซ้ำ กลายมาเป็นโปสเตอร์ที่สามารถผลิตซ้ำได้ สร้างขึ้นมาจากความงามที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับยุคอุตสาหกรรมwww.artcyclopedia.com/artists/warhol_andy.html
(แตกต่างจากความงามของยุคคลาสสิคที่มุ่งนำเสนอความเป็นเลิศ และความเป็นหนึ่งเดียว ที่ต้องอาศัยความพากเพียรในการสร้างงานอย่างสูงยิ่ง เพื่อสร้างคุณค่าให้กับตัวชิ้นงานให้มีความหาค่ามิได้ ดังเช่นรูปประติมากรรมที่นำมาแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง)
ปัจจุบันนี้ กลุ่มของผู้ที่เป็นผู้นำทางวิธีคิดของโลกกำลังอยู่ในกระบวนทัศน์ของ Postmodern ที่มองว่า ไม่ต้องหาอะไรใหม่ เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากการตีความของมนุษย์ เพราะความจริงบนโลกนี้ล้วนสร้างขึ้นจากภาษา
นักคิดชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Foucault เขียนหนังสือ The Order of Things และ Archeaology of Knowledge ขึ้นมาเพื่อบอกว่า ความจริงสร้างขึ้นมาอย่างไร
AI จึงเป็นภาษาในชุดของการสร้างพลังและความหวังให้แก่ผู้ใช้ รวมไปถึงองค์กร และสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นเพียงหนทางหนึ่งของการสร้างความจริงขึ้นบนสมมติเท่านั้น
ขอบคุณค่ะคุณมองเพลิน ขอให้เพลินกับการศึกษาค้นคว้านะคะ จะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ