“พุทธเศรษฐศาสตร์”
ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ศีล” นั้นคือ “การทำความดี”
“การทำความดี คิดดี ทำดี”
เป็นโจทย์ที่ทำให้นายรักษ์สุขต้องขบคิดรวมถึงทดลองปฏิบัติว่า
เราจะไปถึง “ศีล” นั้นได้อย่างไร......
จากประโยชน์อันทรงพลังของ Gotoknow นั้น การที่ได้ปุจฉาและวิสัชนากับ อาจารย์จันทร์รัตน์ ทำให้นายรักษ์สุขมีโอกาสกลับมาสวดมนต์ไหว้พระเหมือนดั่งเช่นก่อนที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำเมื่อครั้งอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์
ในช่วงแรกเดินทางมาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นายรักษ์สุขมิสามารถสวดมนต์ภาวนาได้ เพราะเนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องของสถานที่ที่จะต้องใช้ในการทำสมาธิและสวดมนต์
เนื่องจากได้ทราบจากผู้รู้ว่า การสวดมนต์ในห้องนอนนั้น เป็นสิ่งที่มิควรทำ
แต่หลังจากได้รับความกระจ่างในเรื่องนี้แล้วทำให้นายรักษ์สุขสามารถกลับมาปฏิบัติได้อย่างเดิมอีกครั้งหนึ่ง
จากการที่นายรักษ์สุขได้เฝ้าและสังเกตตัวเองในช่วงก่อนและหลังจากการที่สามารถสวดมนต์ภาวนาทำสมาธิได้แล้ว ก็พบว่ามีความแตกต่างกันของสภาวะจิตค่อนข้างมาก
ช่วงแรกที่มาและไม่ได้สวดมนต์ภาวนานั้น รู้สึกว่าจิตใจและร่างกายดูไม่ค่อยสัมพันธ์กันเหมือนดังเช่นแต่ก่อนมา
บางครั้งก็เกิดอาการ “จิตหลุด” บ้างเป็นครั้งคราว
ส่งผลถึงลมหายใจ การคิด และการปฏิบัติที่ผ่องทางออกมาทั้งทางทาง วาจา และใจ
“ไม่นิ่งเหมือนเดิม”
จิตใจว้าวุ่น คิดคำนึงอยู่กับอดีตและพะวงอยู่กับอนาคต ทำให้ชีวิตในปัจจุบัน ณ ขณะนั้นต้องรันทดไปโดยไม่ได้อยู่เนื้อรู้ตัว
จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ผ่านไปประมาณสองสัปดาห์ที่นายรักษ์สุขสามารถกลับมาสวดพระพุทธคุณ พาหุงมหากา และพระคาถาชินบัญชร อย่างเป็นประจำนั้น
ทุกอย่างเริ่มกลับมา “นิ่ง”
และบางครั้งสามารถพูดได้ว่ามีการ “พัฒนา” มากขึ้นตามลำดับ
การพัฒนานี้อาจจะไม่สามารถจับต้องได้ในเชิงรูปธรรม แต่สิ่งที่นายรักษ์สุขสังเกตถึงผลจากการปฏิบัติได้นั้นก็คือ
“การมีสติที่จะคิดในแต่สิ่งถึงดี ๆ มากขึ้น”
ส่งผลให้เราสามารถเปิดใจและพร้อมที่จะเข้าใจถึงเหตุถึงผล ความเป็นมาและเป็นไปของสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างตัว
เส้นทางสู่ “ศีล” หรือ “การคิดดี ทำดี” นั้นมีหลากหลายเส้นทาง ซึ่งขึ้นอยู่กับ
“ทุน” และ “ความศรัทธา”
ในวิถีทางความเชื่อและความเหมาะสมในแต่ละท่าน
แต่หลากหลายเส้นทางนั้นมีจุดร่วมที่สำคัญซึ่งจะนำไปสู่
“ศีล สมาธิ และปัญญา”
ได้นั้นก็คือ
“การปฏิบัติ”
ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดด้วยนะครับ
ต่อเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ผมเคยอ่านงานท่านประยุตตฺ ประยุทโต ซึ่งท่านได้ปาฐกถาที่สนง.คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้น สวช.กำลังเคลื่อนงานที่เรียกว่า "จิตพิสัย" ซึ่งเป็นภาษาทางการศึกษาที่แปลมาจากคำ "Affective Domain" ที่เป็นหนึ่งในพิสัยสามพิสัยที่เสนอนานแล้วโดยนักการศึกษาคนสำคัญคนหนึ่งของอเมริกาคือ Benjamin Bloom แห่ง U of Chicago อีกสองพิสัยคือ "พุทธิพิสัย(Cognitive Domain)" และ "ทักษะพิสัย(Psychomotor Domain)" ท่านประยุตตฺชี้ให้เห็นว่า "ศีล สมาธิ และปัญญา" ก็ตรงกับกรอบสามพิสัยนี้ คือ ปัญญา=cognitive domain สมาธิ=Affective Domain และ ศีล=Psychomotor Domain และอัตถาธิบายเพิ่มเติมว่า ลำดับกลับต่างกัน แนวคิดของ Bloom เริ่มจากปัญญา ในขณะที่ปรัชญาตะวันออกรวมทั้งพุทธด้วยเริ่มจากศีลซึ่งก็คือการกำหนดทางกาย ก่อนที่จะกำหนดทางจิต(สมาธิ) และเข้าสู่มิติของปัญญาในที่สุด พระพุทธเจ้ากำหนดทางกาย (อย่างพอเพียง) วันที่ท่านจะตรัสรู้ ระบบการเรียนวรยุทธของกังฟูก็เริ่มจากการฝึกลมปราณ ผมจึงคิดว่าถ้าจะนำมาประยุกต์เข้ากับเศรษฐศาสตร์โดยผ่านพุทธพจน์ทั้งสามคำนี้ น่าจะตีความว่า ศีลคือการปฏิบัติ (กำหนดตัวเองให้พอเพียง) เข้าสู่สมาธิ (ความแน่วแน่/หนึ่งเดียวทางอารมณ์)ที่ทำหน้าที่คล้ายแสงเลเซ่อร์ที่ส่องกระทบและขจัดอวิชาที่เคลือบครอบสถานการณ์อยู่จนเห็นตัวปัญญาที่อธิบายสถานการณ์นั้นได้ หากปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้ระบอบวัตถุของทุนนิยมโดยสิ้นเชิง ก็จะขาดสมาธิที่จะคิดเกี่ยวกับตัวเอง ว่าเป็น "อะไร" ขาดมิติทางจิตวิญญาณ ยากที่จะเข้าถึง "ความพอเพียง" ที่พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมีเมตตาพระราชทานเป็นสติแก่พวกเรา