ปี ๒๕๐๓ ผมเข้าเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ การเรียนการสอนสมัยนั้นว่ากันตามความเคยชินของอาจารย์ นิสิตรุ่นก่อนผมหนึ่งรุ่นสอบตกเป็นรีพีตเตอร์กันตั้งเกือบครึ่งชั้น นับว่ามากเป็นประวัติการณ์ เขาก็มาอยู่ชั้นเดียวกันกับผม แต่อยู่คนละเซ็คชั่น แทบไม่มีโอกาสรู้จักกัน และคนก็เรียกเขาว่า รีพีตเตอร์ ทำให้เสียศักดิ์ศรีหรืออับอาย คนเหล่านี้หลายคนมาเรียนแพทย์พร้อมผมและจบรุ่นเดียวกัน คือที่สอบตกอาจจะไม่ใช่เขาไม่เก่ง แต่ระบบอาจจะมีข้อบกพร่อง
การเรียนสมัยนั้นเรียนวิชาเป็นปี ปีหนึ่งมี ๒ เทอม พอก่อนปิดเทอมกลางปีก็สอบมิดเยียร์ เก็บคะแนนไปรวมกับสอบปลายปี ข้อสอบเป็นอัตนัยทั้งหมด สมัยนั้นยังไม่รู้จักข้อสอบปรนัย แต่ตอนสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมฯ และสอบเข้าจุฬาฯ มีข้อสอบถูกผิดหรือให้เลือกคำตอบ แต่ข้อสอบตอนเรียนเป็นอัตนัยล้วน และที่จุฬาถ้าคะแนนไม่ถึง ๖๐% ถือว่าตก ถ้าคะแนนต่ำนิดหน่อยก็ให้สิทธิ์สอบซ่อม สมัยนั้นเรียก รีเอ็กแซม ถ้าสอบซ่อมไม่ผ่านวิชาใดก็ถือว่าตกต้องเรียนใหม่ทั้งชั้นปี เรียนทุกวิชาของชั้นนั้น ยกเว้นวิชาที่สอบได้คะแนนสูงจริงๆ จึงจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเรียนซ้ำ เรียนยากกว่าสมัยนี้มากครับ
เมื่อวันที่ ๖ กค. ๔๙ ผมนั่งฟังคณบดีคณะแพทย์ศิริราชอ่านรายชื่อบัณฑิตแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง พบว่ามีกว่า ๑๐% ของจำนวนบัณฑิตทั้งหมด สมัยผมมีคนเดียวหรือบางปีไม่มีเลย รุ่นผมมีวลีคนเดียวได้เกียรตินิยมและได้แค่อันดับสอง
ที่จุฬาฯ นิสิตทุกคนต้องดูแลตัวเอง ต้องมีสติอยู่กับทั้งการเล่น สังคม และการเรียน เพื่อนที่มาจากห้องคิง รร. เตรียมเหมือนผมสนุกกับการสังคม การกีฬา มากเกินไปจนสอบตก รุ่นพี่บางคนเป็นนักเรียนเตรียมห้องคิง แต่มาอยู่จุฬาฯ สอบตกสองปีซ้อนถูกรีไทร์ แล้วสอบเข้ามาใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนเขาเรียก "ปู่จุฬา" ดูๆ คล้ายมีอาชีพ (ไม่) เรียน คือชอบชีวิตสังคมของการเป็นนิสิต ไม่ขวนขวายเดินเส้นทางชีวิตของผู้ใหญ่ต่อไป ผมไม่ได้เอาใจใส่ท่านเหล่านี้มากนักเพราะมัวแต่รักษาความพอดีในเรื่องสังคมและเล่น ไม่ให้เสียการเรียนของตนเอง
เพื่อนคนหนึ่งชื่อธีระ มาจาก รร. เตรียมฯเหมือนผม พอมาอยู่จุฬาฯ ก็ใจแตก เล่นไพ่จนขาดเรียนและสอบตกสองปีซ้อน ถูกรีไทร์ ที่น่าเห็นใจคือธีระเป็นลูกพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ พ่อแม่เช่าบ้านให้อยู่ เพื่อนเล่าว่าเพื่อนๆ พากันไปเล่นไพ่ที่บ้านเช่าของธีระ พอถึงเวลาดูหนังสือเพื่อนก็หยุดเล่นไพ่ตั้งหน้าดูหนังสือและสอบได้ แต่ธีระยังมีเพื่อนขาไพ่คนอื่นๆ มาชวนเล่นอยู่อีก ธีระขัดไม่ได้จึงเล่นจนไม่ได้ดูหนังสือ ที่จริงธีระอาจจะหัวดีกว่าผมเสียอีก ผมยังจำนามสกุลได้แต่ขอไม่บอก นี่คือตัวอย่างจริงของชีวิต ที่ต้องมีสติ รู้จักคอยคุมตนเอง ชีวิตจึงจะเป็นปกติสุขได้
ผมชอบสังเกตชีวิตของเพื่อนๆ และคาดคะเนว่าใครจะได้ดีด้านไหน ใครจะไม่ค่อยดี ปรากฎว่าบางคนทำให้ผมตกใจมาก ที่อยู่ๆ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป และเพื่อนบางคนเป็น "จิ๊กโก๋" แต่กลายเป็นคนธรรมะธัมโมในที่สุด ชีวิตคนเรามีปัจจัยที่ไม่คาดคิดเยอะมาก ผมเดาอนาคตเพื่อนได้ไม่ค่อยถูกนัก แสดงว่าวิธีคิดตอนเด็กๆ ของผมเป็นวิธีคิดแบบเด็กๆ แต่วิธีคิดแบบนี้แหละที่ทำให้ผมระมัดระวังตัว ไม่เฉไฉออกนอกลู่นอกทาง
วิจารณ์ พานิช
๙ กค. ๔๙
เรียนท่านอาจารย์ครับ ได้อ่านบทความอาจารย์แล้วรู้สึกถึงวันที่ผ่านมาครับ ผมคงเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความหวังว่าสักวันจะได้เรียนที่จุฬาฯ ตอนนี้ก็จบปริญญาตรีแล้วครับ อยากจะต่อปริญญาโท ผมจบมาจาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะวิทยาการสารสนเทศ อยากให้อาจารย์แนะนำสาขาที่น่าจะเรียนต่อ เพราะได้ดูสาขาที่สนใจไว้โดยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือ ทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ และทางด้าน เทคโนโลยีการศึกษาครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ธนกร ศิริกิจ
สวัสดีครับ ท่าน อ. หมอวิจารณ์
ผมแวะมาเก็บเกี่ยวเอาข้าวพันธุ์ดีของท่านอาจารย์ ครับผม
ขอบพระคุณมากครับ
จาก...umi