ดิฉันเป็นลูกคนโตของครอบครัวแถมเป็นหลานคนแรกของคนในบ้านด้วย
การเลี้ยงดูฟูมฟักก็เป็นสิ่งที่ดีแน่นอน
ใครๆก็เอ็นดูรักใคร่
ให้ความอบอุ่น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นลูกเป็นหลานคนโต คนแรกแล้วจะได้อะไรง่ายๆนะคะ
เพราะที่บ้านทำอาชีพค้าขาย
พ่อกับแม่ ก็ออกไปรับซื้อข้าวเปลือก
เราก็นั่งรับและตรวจเช็คสภาพข้าวเปลือก ถั่ว ข้าวฟ้าง กับคุณปู่
เวลาเย็นๆก็จะได้ยินเสียงตามสายของที่วัด และก็จะมีผู้ใหญ่บ้านมาพูด
มีดนตรีก่อน ช่วงแรกๆฟังแล้วก็รู้สึกเหงาๆร้องไห้คิดถึงแม่ เมื่อไหร่จะกลับมา
ดิฉันถูกเลี้ยงแบบว่าไม่เคยได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย
จึงไม่ค่อยมีเพื่อน
เวลาว่างปู่ก็จะสอนอ่านหนังสือ
สอนเราเลือกข้าวเปลือก
ออกไปทุ่งนาบ้าง
บางวันรับซื้อถั่วเขียวที่บ้านก็ต้มซะกลิ่นฟุ้งกระจายเลย
กินจนเอียน ได้กลิ่นแล้วจะอาเจียน จริงๆนะ
พอโตได้เข้าเรียน ก็เรียน คุณปู่ก็จะเป็นคนไปส่งเรียนทุกเช้า
ถ้าแม่ไปทำงานสายแม่ก็จะไปส่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราไม่อยากไปเรียน
คุณปู่ก็จับไปเรียนจนได้ ก่อนไปก็โดนตีอีก
คุณเชื่อไหม ดิฉันทำงานบ้านเป็นตั้งแต่ชั้นอนุบาล
เห็นแม่กลับมาทำงานก็ช่วยทำทุกอย่าง
แม่ก็สอนให้ถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้า
เห็นแม่หุงข้าวก็จำ เห็นแม่ทำกับข้าวก็ช่วยหยิบช่วยจับ
จนทำได้หมดเลย
ตอนดิฉันอายุ6ขวบก็แอบหุงข้าวเอง
แชะไปนิดแต่แม่ก็ดีใจที่เราทำให้ท่านได้
เราภูมิใจมากเลย จากนั้นเราก็ทำมาตลอด
เหมือนเป็นหน้าที่เลย
เรื่องชุดเสื้อผ้านักเรียน เราก็ทำเองตั้งแต่เด็ก
สรุปแล้วที่เราทำได้ทำเป็นมาทั้งหมดก็เพราะ แม่
แม่คือคนที่เรา ควรจะทำตามและเป็นแบบอย่าง
จากคำว่า "แม่"
ตั้งแต่เล็กจนถึงอายุ17ปี
ดิฉันไม่เคยออกจากอ้อมอกแม่เลย
จนได้มาเรียนต่อระดับอุดมศึกษา
นอนก็ร้องไห้คิดถึงแม่ทุกคืน
นานเป็นเดือนกว่าจะหาย
เมื่อเริ่มโตแล้ว
ก็ยืนหยัดด้วยตนเอง
....จนตอนที่1....