เมื่อวันศุกร์ ที่ 4 ส.ค.49 สำนักงานผมได้ประชุมเจ้าหน้าที่ประจำเดือน ผมดูวาระการประชุมแล้ว งานช่างมากมายจริง ๆ ทั้งงานเดิมที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง งานใหม่(ด่วน) ที่เข้ามาเป็นระยะ ๆ เราเองผู้รับผิดชอบงานที่ตำบลต้องทำทุกงาน ที่หลัก ๆ ผมดูแล้ว ดังนี้
ขอเล่าส่วนนี้ไว้แค่นี้ มีโครงการหนึ่งที่สำนักงานเกษตรเป็นกองเลขา คือ โครงการพระพรหมเกษตรอินทรีย์ (คลิ้กดูรายละเอียดได้ครับ) โครงการนี้มีเป้าหมายการอบรมเกษตรกรผู้ร่วมโครงการ 50 กลุ่ม 1,000 คน การอบรมได้กำหนดไว้ 10 รุ่น ๆ 100 คน ซึ่งก็ครบรุ่นแล้ว แต่สมาชิกกลุ่มบางรายก็ยังมาไม่ได้ครบ เพราะมาอบรมสรุปแล้ว 83 % จำเป็นต้องมาอบรมให้ครบทุกคน เพราะไม่เช่นนั้นจะสร้างปัญหาความไม่เข้าใจต่อการบริหารงานของกลุ่มและแนวทางของเกษตรอินทรีย์ (โครงการนี้ต้องการพัฒนาคนเป็นสำคัญ)
เมื่อถึงตอนเริ่มพูดคุยเรื่องนี้ ผมก็รีบหาวิธีการดึงเข้ามา ในกระบวนการ แลกเเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเป้าหมายตั้งที่ ให้สมาชิกทุกคนได้ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรม(เพื่อพัฒนาคนที่ใจ) ให้ได้ จึงคิดหาโจทย์ ตั้งคำถาม ให้ผู้รับผิดชอบประสานกลุ่มองค์กร ได้เล่ารายละเอียดการอบรมที่ผ่านมา ข้อมูลของเกษตรกรรายที่ไม่ได้มาอบรมว่าเขามีความจำเป็นอะไรบ้างแยกออกมา เพื่อให้การอบรมที่เก็บตกรุ่นสุดท้ายจะได้มาครบทุกคน และโดยที่เขาไม่กังวลเมื่อมาอยู่ในห้องเรียนรู้ซึ่งจะได้เรียนรู้ด้วยความมีสมาธิ
จากข้อมูลที่ได้รับเราก็ได้เรียนรู้ วิถีชีวิตความรับผิดชอบแต่ละครอบครัวว่าไม่เหมือนกัน การที่เขาไม่มาตามแผนเดิมเราได้รู้ว่าเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้าที่เขาเองไม่สามารถหลีกได้ เช่นบางคน ลูกป่วย ญาติป่วย ไปทำธุระที่โรงเรียนให้ลูก หน่วยงานอื่นนัดหมายไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว นัดรังวัดที่ดิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทุกวันในหมู่บ้าน/ตำบล ในที่สุดเราก็ได้สรุปการดำเนินงานและกำหนดแผนรายละเอียดในการจัดอบรมรุ่นสุดท้าย คาดหมายไว้ว่าครั้งนี้สมาชิกกลุ่มเกษตรอินทรีย์คงได้มาอบครบทุกคน
ผมก็ได้บอกกับเพื่อนร่วมงานว่า เมื่อกี่เราเข้ากระบวนการ KM แล้วโดยเราทุกคนไม่รู้ตัว พวกเราผู้รับผิดชอบตำบลเป็นคุณกิจ/คุณเล่า ท่านเกษตรอำเภอเป็นคุณ เอื้อ/อำนวย ให้เรา ส่วนน้องพนักงานธุรการทำหน้าที่คุณบันทึก/ลิขิต วัตถุประสงค์ของผมที่เอามาบอกกับเพื่อน ๆ ก็เพื่อให้เรารู้กันว่า KM ไม่ใช่งานอีกชิ้นที่เราต้องทำ แต่เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ในการเอาความรู้ไปใช้ทำงานเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ(วางไว้)
KM ไม่ใช่งานอีกชิ้นที่เราต้องทำ แต่เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ในการเอาความรู้ไปใช้ทำงานเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ(วางไว้)
งานมากมายดังที่เล่าข้างต้น คุณชาญวิทย์ใช้KM จัดการอย่างไรครับ?
เรียน อ.ภีม
ผมเองพยายามเรียนรู้กระบวนการ KM เพื่อหวังจะจัดการกับงานอันมากมายเหล่านั้นครับ ด้วยเป้าหมายคือพยายามค้นหาองค์ความรู้ จากการเล่าประสบการณ์ของหลาย ๆท่านที่บันทึกไว้ใน Blog และทดลองปฏิบัติ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับตัวเอง เมื่อทดลองและพบเห็นผมก็เปรียบเทียบ และเขียน Blog เพื่อหวังให้ท่านอื่น ๆ ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนและเป็นตัวชี้วัดความเข้าใจไปในตัวครับ
- ส่วนในตอนนี้การจัดการกับงานนั้น การปฏิบัติที่ทำอยู่จะผ่านทางกลุ่มองค์กร(กลุ่มอาชีพ,กลุ่มองค์กิจกรรมทางสังคม)เป็นหลัก ซึ่งแล้วแต่กิจกรรมของงาน เช่น ถ้าเป็นกิจกรรมการถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกร ผมจะใช้แบบแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ค้นหาภูมิปัญญา บางครั้งหากได้ไม่พอก็หาองค์ความรู้สำเร็จรูป(โดยวิทยากร)เข้าเสริม
- ส่วนอีกช่องทางหนึ่งประเภทงานพัฒนาที่ต้องการการตัดสินใจของชุมชน จะจัดเวทีผู้นำชุมชนแบบมีส่วนร่วมครับ เพราะในชุมชนนั้นไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนในชุมชน ให้เขาเสวนาโดยเราตั้งโจทย์ขึ้นมาครับ
ขอบคุณนะครับ อยากให้ อ.ภีม ช่วยแลกเปลี่ยนด้วย
ขอบคุณพี่เหม่ยมากครับ ที่กรุณาแลกเปลี่ยน