สงสาร nature เล็กน้อยเมื่อไปร่วมงาน "วิ่งหาดใหญ่สู่ธรรมชาติ" เช้าวันนี้


เรายังไม่ได้ผสมผสานความคิดรอบด้านให้กันอย่างเพียงพอ

วันนี้สมาชิก 3 คนของครอบครัวเราไปร่วมวิ่ง "Fun run" ในงาน "Hat Yai Nature Run 2006" กันตั้งแต่เช้ามืด เราวิ่งในประเภทครอบครัว เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมงานแบบนี้ ได้เห็นผู้คนมากมายที่มาแล้ว ชื่นใจ รู้สึกว่าเราเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายกันมากขึ้นๆ จากข้อมูลคร่าวๆที่ได้มา ปีนี้มีผู้เข้าร่วมมากเป็นประวัติการณ์ ถึงกว่า 3000 คน ในประเภทครอบครัว มีถึง 88 ครอบครัว มากกว่า 500 คน (เห็นตัวเลขแป๊บเดียว แต่สะดุดใจว่า แสดงว่าครอบครัวละมากกว่า 3 คนเป็นส่วนใหญ่...น่าดีใจนะคะ)

สิ่งที่ติดใจและอยากจะสะกิดตรงนี้ก็คือ การได้เห็นว่า เราทิ้งแก้วน้ำกันเกลื่อนถนน ตรงบริเวณให้น้ำ เป็นภาพที่รู้สึกว่า ถ้าเราเป็นธรรมชาติ เราคงร้องไห้ดีกว่า ถึงแม้จะรู้ว่า คงมีกรรมการผู้จัดทั้งหลาย มาตามเก็บกันหมดทีหลังอยู่แล้ว ก็ยังเสียใจว่า ทำไมเราไม่ปลูกฝังความรักธรรมชาติกันเสียเลยว่า เราถือขยะนั้นไปทิ้งให้ถูกที่ ไม่ต้องรอให้ใครมาตามเก็บทีหลัง

เรา 3 คนไม่ได้วิ่งด้วยกัน พี่เหน่นและน้องฟุงเข้าเส้นชัยก่อนคุณแม่ จึงไม่ได้เห็นว่าลูกๆทำอย่างไร แต่พอถามน้องฟุง ก็ได้รับคำตอบว่า "ฟุงก็โยนตามเค้าแหละแม่ จะให้ทำยังไงล่ะ ใครๆก็โยน มีคนนึง โยนแก้วที่ยังมีน้ำกระเด็นมาเปียกกางเกงฟุงด้วย" ก็เลยได้บอกน้องฟุงว่า ถ้าเราทุกคน ที่กินกันคนละแก้ว ต่างคนต่างถือมาทิ้ง แก้วก็ไม่ได้หนักอะไร ก็จะไม่ต้องมีคนต้องมาตามเก็บ ไม่ต้องมีภาพอันน่าเกลียดที่เห็นๆว่าธรรมชาติโดนรังแก เต็มถนนแบบนั้น น้องฟุงก็ทำท่าว่าเห็นด้วย และคราวหน้าจะทำแบบที่แม่ว่า

เสียดายที่ทางผู้จัดซึ่งสามารถรวบรวมคนจำนวนกว่า 3000 คนให้เขามาวิ่งกันได้ น่าจะได้สร้างจิตสำนึกอันดีในเรื่องเล็กน้อยนี้ให้ด้วย เพราะจะว่าไปแล้วการรักษาความสะอาดโดยทั่วไปเป็นไปอย่างน่าชื่นชม บริเวณงานที่มีร้านอาหารแจกผู้เข้าร่วมซึ่งใช้จานและถ้วยใช้แล้วทิ้ง ก็ไม่มีเศษสิ่งที่ใช้แล้วทิ้งเกลื่อนกลาด คนส่วนมาก (กว่า 90%) ทิ้งลงถุงดำที่จัดไว้ให้มากมายรอบบริเวณ

ทำไมเราจะขอแค่นี้กันไม่ได้ และยังได้สร้างจิตสำนึกให้ลูกหลานตัวเล็กตัวน้อยที่มาวิ่งกันมากมาย ได้คิดไปด้วยว่า เรากิน เราเก็บ เราทิ้ง ให้ถูกที่ เราไม่รอให้ใครมาตามเก็บเมื่อเราได้ทำลายธรรมชาติไปแล้ว (ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน ไม่ทำได้จะดีที่สุด) 

หมายเลขบันทึก: 42920เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2006 09:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ปีที่แล้วดิชั้นได้ร่วมวิ่งด้วยก็เห็นที่อย่างนั้นแหละ

ขยะทั้งนั้น ทั้งแก้วน้ำทั้งถ้วยของว่างที่แจก

แต่ปีนี้ไม่ได้ไปเนื่องจากไม่ว่างเลย ทั้งๆที่อยากจะได้

 Jumping Rope Squats Weight Lifting Aerobics Barbell Aerobics Wakka Wakka      ดีใจด้วยที่ได้โอกาสไปร่วมกิจกรรม "วิ่งหาดใหญ่สู่ธรรมชาติ"  ขอให้ร่างกายแข็งๆๆๆๆ  แรงๆๆๆๆๆ นะๆๆๆๆ จ๊ะๆๆๆๆๆ  โยๆๆๆๆๆๆ 

   ส่วนเรื่องวางแก้วและทิ้งแก้วนั้น คนวิ่งก็เหนื่อยน่าเห็นใจ  ถ้าหากมีการวางถังทิ้งเป็นระยะ เขื่อว่าคนสมัยนี้น่าจะทิ้งถังให้นะ แต่พอไม่มีถัง วิ่งก็เหนื่อยอยู่แล้ว พอมีรอยคนแรกที่เริ่มต้นทิ้ง แล้วมีคนต่อไปทิ้ง ก็ยังดีนะกองเป็นที่บริเวณเดียวกัน ขอเพียงไม่ทิ้งแบบขว้างปาให้เกลื่อนกลาด หรือจะถือแก้วเปล่าที่ดื่มน้ำหมดแล้ว วิ่งต่อไปจนกว่าจะเจอถัง ในความเป็นจริงจากประสบการณ์ที่เคยวิ่งนะ คงต้องทำอย่างเค้าไปก่อนระหว่างกำลังวิ่ง ตามธรรมชาติ สู่ธรรมชาตินะ

Spaz





น่าจะเป็นเพราะว่าคุณโอ๋ เพิ่งมาวิ่งปีนี้เป็นปีแรกมั้งครับ

เลยรู้สึกอย่างนี้ ถ้ามาร่วมด้วยตั้งแต่หลายๆปีก่อน ก็อาจจะไม่รู้สึกติดใจอย่างนี้

คุณโอ๋สังเกตใหมครับว่า กลุ่มคนที่ กิน แล้วทิ้งเรียบร้อย (90%) ในบริเวณงาน กับกลุ่มคนที่ ดื่ม แล้วทิ้งไม่เรียบร้อย (99% รึเปล่า) เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน ประมาณว่า คนที่กินอาหารบริเวณงานเกือบทั้งหมดเป็น นักวิ่งนะครับ อาจจะไม่ไช่ 100% แต่คงใกล้เคียง

ทราบใหมครับว่าทำไมเขาเหล่านั้นถึงปฏิบัติตัวแตกต่างกัน  ผมว่าถ้าสงสารธรรมชาติ เราควรจะนึกถึงวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงการใช้แก้วพลาสติก แบบใช้แล้วโยนทิ้ง ไปหาวัสดุอย่างอื่นที่ใช้แทนกันได้ โดยราคายอมรับได้ น่าจะดีกว่าครับ

เรื่องของการดื่มน้ำระหว่างการวิ่ง แล้วโยนแก้วทิ้งโดย  ให้เป็นภาระของผู้จัด เป็นผู้ตามเก็บ คงจะเรียกได้ว่า เป็น "ธรรมชาติ" ของการวิ่งแข่งระยะไกลไปแล้วล่ะครับ ไม่ว่าเราจะตั้งชื่อการวิ่งนั้นๆว่าอะไร การที่มันเป็น วิ่งสู่ "ธรรมชาติ" คงไม่สามารถเปลี่ยน "ธรรมชาติ" ของการวิ่งแบบนี้ไปได้หรอกครับ 

 

"เรายังไม่ได้ผสมผสานความคิดรอบด้านให้กันอย่างเพียงพอ"  รู้สึกเช่นเดียวกันค่ะคุณโอ๋  กับการแก้ปัญหาถังขยะไม่พอ ที่จะตั้งปล่อยให้ทิ้งที่ถนน  กับผลที่แผ่ไปในใจของคนวิ่ง 3000 คน ไม่คุ้มเลย 
บังเอิญบ้านอยู่ทางนั้น ขากลับออกมาอีกทีตอน 9 โมงเช้า เรียบเลยค่ะ เจ้าหน้าที่เก็บกันจนหมด แต่นั่นหล่ะ "ภาพที่เห็นประทับอยู่ในใจเรียบร้อยไปแล้ว"
ส่วนใหญ่งานไหนก็งานนั้นค่ะ มักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ จำได้ว่าวันก่อนไปเที่ยวงานฉลองครองราชครบ 60 ปี ขยะเต็มพื้นสนามทั้งไม้ลูกชิ้น กระดาษ ถุง ฯ แต่ผู้เขียนได้ยินพิธีกรบอกว่าให้เรา ๆ ช่วยกันทำความดีคนละอย่าง อย่างน้อย ๆ ก็คือไม่ทิ้งขยะ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลยค่ะ

ลองอ่านทั้งหมดดูแล้วพอจะสรุปว่าจะมีเหตุการณ์นี้อีกปีหน้า แน่นอน (บังเอิญเป็นคนมองแง่ร้ายหน่อย ๆมั้งคะ) เพราะว่า คนทั่วไปยังมีแนวโน้มแก้ตัว(ให้) และหาเหตุผลเพื่อแสดงความเห็นใจ (เข้าข้าง) อยู่  แทนที่จะหาวิธีการแก้ปัญหา

เนื้อหาต้นเรื่องนี้โดนใจ และถูกใจ ดิฉันมาก เพราะหาคนคิดเหมือนกันเจอ  ดิฉันก็เป็นหนึ่งในจำนวน 3000 กว่าคนที่ไปวิ่ง และเห็นประเด็นนี้ด้วย การทิ้งแก้วนำ้เช่นนี้ นอกจากจะเป็นการรังแกธรรมชาติแล้ว ยัง เป็นอันตรายด้วยนะ ลื่นนะ่ ช่วงกลับตัว fun run ดิฉันเจอก้อนน้ำแข็งเต็มพื้นเลย ถ้าเหยียบพลาด หรือไม่ระวังอาจจะล้มได้ ดิฉันวิ่งไป เตะให้ก้อนน้ำแข็งออกนอกทางไปบ้าง เพราะคิดว่าอันตรายกับคนที่ไม่ได้มอง  เราเห็น เราคิดทางลบ  เราก็ช่วยเตะออกให้พ้นทาง แต่เราเตะมาก ๆ ก็ไม่ไหวค่ะ หมดแรง .....  เลยได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครลื่นล้มเลยนะ สาธุ ....

 

อีกประเด็นที่น่าบ่นคือเรื่องการเข้าคิวรับอาหาร สามปีมาแล้วที่เห็นเรื่องเดิม ๆ คือไม่ค่อยมีการใส่ใจเรื่องหารเข้าแถวเลย  โดยเฉพาะของที่ต้องรอนานเช่นขนมครก หาคนเข้แถวยากมาก  ปีที่แล้วมีอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง (ท่านเป็นคนตรงมาก ๆ และกล้าพูดกล้าทำ) บอกคนทำขนม หรือแจกอาหารไม่ให้แจกสำหรับคนที่ไม่เข้าแถว แล้วก็พยายามบอกให้คนมารับอาหารเข้าแถวให้ได้ แต่ไม่ได้ผลเท่าไรหรอก เพราะพอท่านไป ก็เหมือนเดิม  ปีนี้ดิฉันไปรอขนมครกตั้งนานมากกก  ก็ไม่ได้กิน ต้องกลับไปกินของเพื่อน เพราะทนโดนคนตัดหน้าหลายรายไม่ไหว  แล้วก็ไปเดินหาอาจารย์ท่านนั้น และบอกท่านว่าให้ไปช่วยจัดแถวให้หน่อย (วิธีแก้ไขของคนไม่กล้าโวยวายไงคะ)

 นอกประเด็นหน่อย  คิดไหมคะว่าวิ่งสู่ธรรมชาติจริง ๆ เพราะพอออกนอกรั้วมอ. ก็ได้กลิ่นหมูมอ. ตลอดทางเลย  :-)

 

 

 

เป็นข้อคิดเห็นที่น่ารักของนักวิ่ง      ขอแจ้งข้อมูลที่จะให้คุณโอ๋แล้วเอากลับไปแจกนักข่าวค่ะ

วิ่งด้วยใจถวายในหลวง 3,573 คน มากเป็นประวัติการณ์                 การแข่งขันวิ่งหาดใหญ่สู่ธรรมชาติ ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ 6 สิงหาคม 2549  โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์    เป็นการรวมพลังแสดงออกในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ 60 ปี มีผู้ร่วมการแข่งขันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 3,573 คน    มากกว่าปีที่แล้ว ที่มีนักวิ่ง 2529 คน ถึง 1,044 คน                       มีจำนวนผู้เข้าแข่งขัน ทั้งสิ้น   3,573  คน  เป็นชาวไทย  3,080 คน   ต่างชาติ 493 คน   ประกอบด้วย มาเลเซีย 437 คน  สิงคโปร์ 55 คน  จีน 1 คน          ในจำนวนนี้เป็น นักเรียน       1,423  คน                    เป็นที่น่าสังเกตว่า โรงเรียนต่างๆให้ความสนใจส่งเสริมเยาวชนให้รักการออกกำลังกายโดยมีโรงเรียนที่ส่งนักเรียนเข้าแข่งขัน  ตามลำดับได้แก่       โรงเรียนสุวรรณวงศ์        543 คน    โรงเรียนธิดานุเคราะห์      218  คน   โรงเรียน ม.อ.วิทยานุสรณ์   89 คน        4. โรงเรียนศรีสว่างวงศ์  78 คน  และปีนี้มีชมรมผู้พิการจังหวัดสงขลา    และชมรมเหยื่อเมาแล้วขับ นำรถวีลแชร์ ของผู้อัมพาตท่อนล่างเข้าร่วมการแข่งขันด้วย                          ม.อ.ยังมีการรับสมัครที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานสำหรับสนามวิ่งทุกสนาม เพราะหากผู้วิ่งเคยร่วมการแข่งขัน ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องกรอกใบสมัคร  มหาวิทยาลัยเก็บฐานข้อมูลไว้แล้ว   โดยมีนักศึกษาคอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัคร    ด้านเทคนิคการแข่งขันมีทีมงานชมรมวิ่งหาดใหญ่ และ ม.อ.ร่วมกันดำเนินการอย่างเรียบร้อย  สำหรับอาหารก็มีพอเพียง สำหรับทุกท่านแม้ว่าจะมีนักวิ่งเพิ่มขึ้นกว่าพันคน                    แล้วพบกันในงานวิ่งมหิดล อาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2549 จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ และงานวิ่งครบรอบ 30 ปี คณะอุตสาหกรรมเกษตร อาทิตย์ที่ 17 กันยายน นี้ค่ะ

จริงๆแล้วเพิ่งมาเข้าบล็อค chemlab ของพี่โอ๋ ก็เลยมาตามอ่านอาจจะช้าไปหน่อย แต่ยังไง Gotoknow ก็ส่ง mail ไปบอกว่ายังมีความเห็นเพิ่มเข้ามา :D

เห็นด้วยค่ะไม่ใช่ว่าแต่งานวิ่งนะคะ สังเกตได้ว่าไม่ว่าจะงานขายของหรืองานไหนที่มีคนมากๆ ระหว่างใกล้ๆงานเลิกกับงานเลิกแล้วขยะเป็นกองเท่าภูเขา

อย่างในสนามกีฬามักจะมีงานธงฟ้าขายสินค้าราคาย่อมเยาว์ เริ่มขายวันแรกๆก็ยังดูดี พองานเลิกเท่านั้นแหละแทบไม่อยากเดินผ่านเลย ขยะเยอะมาก ทั้งเหม็น ทั้งเปียก เห็นแล้วก็สงสารนักการของสนามกีฬาต้องมานั่งคอยกวาดขยะกองโต และถึงแม้ว่าเก็บกวาดแล้วกลิ่นและคราบต่างๆก็ยังอยู่ไปหลายวัน ก็เคยสังเกตเหมือนกันทำไมเค้าไม่ยอมทิ้งขยะลงถังกัน แบบว่ากินเสร็จทิ้งเลย ถังไม่ต้อง แต่ก็มีคนส่วนนึงที่ทิ้งลงขยะเหมือนกัน ส่วนหนึ่งอาจมาจากขยะเต็มด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นหน้าที่ของผู้จัดงานที่เตรียมหาถังขยะขนาดใหญ่ให้พอปริมาณขยะ (ซึ่งน่าจะประมาณได้เพราะจัดมาหลายครั้งแล้ว)

อย่างงานวิ่งนี่ ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผู้จัดน่าจะตั้งขยะให้ห่างจุดแจกน้ำเล็กน้อย และมีปริมาณถังขยะที่สามารถลองรับได้ หรือไม่ก็มีการขนถ่ายเพื่อนำไปทิ้งที่ๆเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานและความมีระเบียบเรียบร้อย ไม่ควรทิ้งไว้ให้เป็นหน้าที่ของคนเก็บขยะอย่างเดียว เพราะถ้าเราต้องเป็นคนกวาดขยะบ้างคงไม่ดีเท่าไหร่ที่ต้องเก็บขยะปริมาณมหาศาลให้เสร็จอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย จริงๆ แล้วเราสามารถสร้างธรรมชาติของการวิ่งให้สะอาดเรียบร้อยได้เหมือนกัน ถ้าเพียงมีผู้ริเริ่มทำ ลองคิดดูถ้าคนหน้าทิ้งลงขยะ คนหลังที่วิ่งตามมาก็ย่อมจะมีจิตสำนึกที่จะทิ้งลงขยะตามด้วย และยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆด้วย อย่างในกรณีน้องฟุงเป็นต้น

น่าวิ่งจัง  คงจะหาโอกาสไปวิ่งด้วยสักครั้ง

  • น่าสนุกนะคะ
  • รักษาสิ่งแวดล้อม และกระชับความสัมพันธ์ อบอุ่นในครอบครัว
  • Nature มีความหมายในตัวเอง หากช่วยกันพัฒนาให้เกิดผลเชิงบวก วิ่งทุกครั้ง จะชื่นใจทุกครั้งใช่ไหมค่ะ ไม่มีขยะ แก้วน้ำ ให้รกตา รกใจ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท