ข้อความต่อไปนี้ ผมอ้างอิงจากบทความ “มหาวิทยาลัยวิจัย” ครับ < Link >
“หัวหน้าภาควิชาจะต้องเป็นผู้นำทิศทางการวิจัยของภาควิชา และ
เป็นผู้ผสมผสานระหว่างความสนใจของบุคคล และทิศทางของภาควิชา
เป็นผู้หาทางควบคุมหัวข้อการวิจัยของอาจารย์แต่ละคนให้เหมาะสม ทั้งยัง
ต้องเป็นผู้นำในการตีพิมพ์ ทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยพยายามทำตัวอย่าง
ในการใช้มาตรฐานสากลในการทำงานวิจัยและตีพิมพ์ผลงาน
หัวหน้าภาควิชาจะต้องมุ่งสร้างการวิจัยและอาจารย์ที่สามารถใช้เงิน
ปีละ 1 ล้านบาทอย่างมีผลดี นักวิจัยระดับนี้จะต้องรวมทีมนักวิจัยผู้ช่วย และ
นักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยเข้าด้วยกันได้
หัวหน้าภาควิชาต้องสนับสนุนนักวิจัยระดับกลางให้ใช้เงินปีละ
100,000 - 400,000 บาท อย่างมีผลดีเช่นกัน แล้วยังต้องสนับสนุนนักวิจัย
ชั้นเยาว์ที่ใช้เงินปีละ 20,000 – 100,000 บาทให้ได้ผลดีอีกด้วย
หัวหน้าภาควิชาจะต้องทำหน้าที่นักวิชาการในการเตรียมโครงการวิจัย
สามารถช่วยอาจารย์ในการเตรียมโครงการเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร มีความรอบรู้
ว่าเงินที่จะใช้ในโครงการวิจัยอยู่ที่ไหน และแสดงความเป็นผู้นำในการบริหาร
จัดการ การรับผิดชอบทางวิชาการและการเงิน และเป็นผู้นำในเรื่องจริยธรรม
อีกด้วย”
สุดท้าย ผมขอฝากคิดเป็นการบ้านเรื่อง “หัวหน้าภาควิชากับ QA และ KM” อีกหนึ่งเรื่องด้วยครับ
วิบูลย์ วัฒนาธร
อาจารย์คะ
หัวหน้าภาคที่ดิฉันรู้จัก ส่วนใหญ่จะวุ่นกับงานบริหารจนไม่มีเวลาทำวิจัยหรือไม่มีเวลาในการพัฒนางานด้านวิชาการเลยคะ เคยมีอาจารย์หลายท่านบอกว่า ถ้าจะมาทำงานบริหาร ต้องทำใจว่างานวิจัยจะลดลงคะ
ไม่ทราบว่าทางมน. จะจูงใจให้อาจารย์หัวหน้าภาคทำวิจัยควบคู่กับงานบริหารอย่างไรบ้างคะ
ขอบคุณคะ
จันทวรรณ
อาจารย์ครับ เรื่องงบประมาณสนับสนุนนักวิจัยแต่ละระดับที่กล่าวมา เป็นนโยบายของทางมหาวิทยาลัยนเรศวรหรือครับ
โดยทั่วไปบทบาทของคณบดีและผู้ช่วยฯ ฝ่ายวิจัย มักจะส่งผลต่อการทำวิจัยของบุคลากรได้มากกว่าหัวหน้าภาควิชา เนื่องจากคณะกรรมการวิจัยของคณะดำเนินการภายใต้สายงานดังกล่าว
นอกจากนี้โดยภาพรวมแล้ว ผมว่าทางคณะมีอิทธิพลมากกว่าทางภาควิชา ในเรื่องของการสร้างบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการทำวิจัยของบุคลากรในคณะ เนื่องจากภาควิชาต้องรับนโยบายด้านการวิจัยมาจากผุ้บริหารคณะอยู่ดี
หัวหน้าภาควิชาต้องเป็นผุ้แนะนำทิศทางการทำวิจัยของภาควิชา ส่วนการคาดหวังให้หัวหน้าภาควิชาเป็นผู้นำในการตีพิมพ์ คงขึ้นอยู่กับสถานภาพปัจจุบันของภาควิชาและตัวบุคคล เนื่องจากงานด้านบริหารก็เป็นตัวจำกัดเวลาเรื่องการทำวิจัยอยู่แล้ว ดังนั้นผมว่าการสร้างทีมวิจัยที่ประกอบด้วยหัวหน้าภาคและบุคลากร ก็อาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้บรรลุแนวความคิดนี้ได้
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ทางมหาวิทยาลัยและคณะมีงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยที่ได้เผยแพร่ทางการประชุมวิชาการ หรือการตีพิมพ์ ในรูปของค่าใช้จ่าย ผมว่าเป็นสิ่งที่น่าส่งเสริม เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่นักวิจัยเหล่านั้นและทำให้เกิดความภูมิใจต่อผลงานที่ได้ทำ
ผมเคยตอบท่านอาจารย์จันทวรรณ ไปครั้งหนึ่งแล้ว เสียดายที่ไม่ได้ตอบไว้ในบันทึกนี้ แต่สามารถอ่านได้ที่ <Link>
สำหรับ คุณเก็บดิน นั้น ผมขอเรียนชี้แจงว่า บทความที่อ่านนี้ มิใช่ นโยบายของมน. เป็นบทความของผู้ทรงคุณวุฒิที่ผมอ้างอิงไว้ในบทความ แล้วเอามาลงใน blog เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความคิด และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นนั้น ๆ ส่วนใครจะนำไปประยุกต์ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงแล้วแต่บริบท และวัฒนธรรมของแต่ละที่ครับ