ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาไม่ได้อัพเดตเรื่องราวเลยเลย
เพราะว่าเน็ตที่ทำงานไม่ดีนะครับ (แก้ตัวเห็นๆ)
ช่วงนั้นผมเลยไปเดินหาหนังสือในห้องสมุดอ่านแทน
แล้วได้เจอหนังสือพลิกความคิดของผมเล่มหนึ่ง
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ 20 หน้า
หน้าปกสีเขียวอ่อน มีตัวหนังสือตัวโตๆ เป็นชื่อเล่มว่า
ในนั้นบอกวิธีดับความโกรธทั้ง 10 ขั้น แล้วแต่คนไหนจะถนัดขั้นไหน
ผมอ่านแล้วพอเข้าใจได้เพียง 3 ข้อ คือ ข้อ 1,8,10
(อย่างว่าละครับคนเพิ่งมาจับเรื่องธรรมะ)
หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นผลเสียของความโกรธอย่างเดียว
ถ้าอย่างนั้นทำไมคนเราถึงขยันโกรธกัน รายวัน รายชั่วโมง รายนาที
มันน่าจะมีประโยชน์บ้างสิ
(ผมก็กลับไปนอนหงนหน้ามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนไป นึกไป ติ้ง!!)
เขียนถึงตรงนี้ผมชักเอะใจ...
เนื่องจากทั้งสามข้อนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย
ถ้าหากว่า เราอยู่คนเดียวทั้ง 3 ข้อนี้ก็ไม่มีประโยชน์สินะ...อืม
ถ้าใครหาประโยชน์ของความโกรธได้อีกก็บอกนะครับ
ลืมบอกไปครับนี่เป็นหนังสือที่
ท่าน พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) เขียนครับ
สวัสดีครับคุณขจิต
เอ..ข้อนี้ผมไม่มั่นใจครับ เพราะยังไม่พิสูจน์ เอิ้กๆ
แต่ถ้าโกรธ/โมโหแบบมีสติ น่าจะยังไม่บ้านะครับ
นักแสดงๆ บทโกรธนี่ยังไม่บ้าจริงไม๊ครับ
เอ้า หารูปหนังสือยาก เลยเอารูปจับเด็กมานั่งอ่านเลย
เรียน ท่านจันทร์เมามาย
สวัสดีคุณบวรครับ
เห็นด้วยกับที่คุณบวรว่าครับ
ถ้าโกรธถึงขั้นขาดสติ ก็ควบคุมไม่ได้แล้วครับ
เคยอ่านพบมาว่า
เวลาคนเราโกรธจะมีอาการแสดงให้รู้ต่างๆ กัน
เช่น หน้าตึง, คางสั่น,มือสั่น (ไม่ได้ลงแดงนะครับ)
ถ้ารู้สึกอาการดังกล่าวก็รีบตั้งสติก่อนที่จะหลุดไปตามอารมณื
แต่ถ้าจะทำได้นี่ต้องมีสติหนักแน่นจริงๆ อย่างที่คุณบวรว่า
ขอบคุณคุณบวรที่แนะนำครับ
ถ้าคุณบวรไม่อยากให้ผมโกรธ
ต้องแผ่เมตตาให้ผมเยอะๆ ครับ
ความเมตตาเป็นคู่ปรับของความโกรธครับ
ขอคารวะ "สหายจันมร์เมามาย"
ข้อ ๑ ข้อ ๒ นึกได้ ทำได้
ข้อ ๓ ผมจะพยายาม
ข้อ ๙ ทำไม่ได้จริงๆ - - -แยกธาตุ
เห็นด้วยกับประโยชน์ของความโกรธ(ที่ยังพอมี)ครับ
ความโกรธครั้งแรกคือเหตุ หากเราพิจารณาตามเหตุแห่งการเกิด ก็จะเข้าใจ
หมายถึง การได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่โกรธแล้ว รู้ทันอารมณ์ตัวเอง ต่อสู้กับตัวเองสำเร็จ...นี่ก็ สุดยอดแล้ว!!!
- - - - - - -
นี่คงเป็นผลที่ท่านอ่านได้ธรรมะ
หมายถึงว่า....ท่านได้ตกผลึกบางอย่างแล้ว...คิดในมุมกลับได้อย่างน่าสนใจ...พิจารณาไปตามเหตุ และปัจจัย
ขอคารวะครับท่าน!!!!
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณพัชรา
อุตส่าห์มาตอบแต่เช้าเชียวนะครับ เห็นด้วยครับ มันเข้ากับภาณิตที่ว่า
ใกล้เพียงเอื้อมแต่ห่างไกลกันลิบ (อันหลังมั่วครับ)
แต่ดูหน้าไม่รู้ใจนี่อาจใช้ได้กับตอนนี้ครับเพราะหน้าผมยังไม่เผยดี แหะๆ
------------------------------
คุณจตุพร เรื่องแยกธาตุ ผมอ่านแล้วยังงๆ เหมือนกันครับ
เข้าใจแค่ว่า ร่างกายคนเราล้วนแต่ไม่ใช่ของเรา
ท่านอาจารย์บอกว่าส่วนไหนของเราที่โกรธ
ส่วนนั้นเป็นของเราหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เราโกรธทำไม
แล้วคนที่เราโกรธ เราโกรธส่วนไหนของเขา
เขามีตัวตนหรือเปล่า ถ้าไม่มีเราโกรธทำไม
ยิ่งพูดผมยิ่งงงครับ เอามาเล่าต่อเพื่อคุณจตุพรจะบบรลุอีกขั้น
คุณพัชรา พอดีได้ความรู้จากคุณหมอวัลลภครับ
หันหน้ากัน... บ่หันใจกัน(คำพื้นเมืองเหนือ / หัน = เห็น)
ลองเข้าไปอ่าดูนะครับ ได้ความดีๆ กับสุขภาพ
ชอบหนังสือธรรมะวันหลังจะขนไปให้อ่านนะคะ (ขนจากห้องชมรมจริยธรรม)
มีมาแลกแปลี่ยนนิดนึงครับ "อย่าโกรธให้พร้อมกัน" รับรองเลยว่าไม่โกรธกันครับ "ความโกรธเป็นธรรม(ชาติ)" หักห้ามได้นะดี แต่เมื่อไม่ได้ก็ต้องรู้วิธีจัดการ อย่าให้นาน และอย่าพร้อมกันครับ
"ความโกรธ"...
โกรธไปก็เท่านั้น...
ยิ่งโกรธ...ปัญญายิ่งด้อย...
โกรธน้อย...ปัญญาเพิ่ม...
โกรธมาก...ปัญญาหาย..
...
อ่านๆ ไปก็พยามยามนึกถึงประโยชน์ของความโกรธอยู่เหมือนกันนะ นึกได้บางอย่าง ไม่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นประโยชน์มั้ยนะ
ยิ้มๆ ด้วยความข้างๆ คูๆ
ข้อสองเคยใช้แล้วได้ผล จำได้ว่าสอนเด็กอยู่กลุ่มนึง เป็นกลุ่มที่สนิทกันมาก เนื่องจากอายุใกล้ๆ และสอนแบบไม่ซีเรียส วันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เด็กๆ คุยกันเหลือเกิน เราก็บอกว่าวันนี้ไมค์มันไม่ดี เปิดแล้วมันหอน ฉะนั้นจะไม่ใช้ไมค์นะ คุยได้แต่เบาๆ เพราะเสียงเราค่อย ไม่อยากตะโกน เพราะสามชั่วโมงมีหวังตาย เตือนครั้งที่หนึ่ง เค้าก็เงียบ...แล้วก็คุยกันต่อ เตือนครั้งที่สอง เงียบ...แต่ยังคุยต่อ ชักเริ่มโกรธแล้วนะ โกรธที่เราใจดีแล้วไม่ให้เคารพกันบ้าง
ครั้งที่สาม...ไม่เตือนแล้ว ยืนนิ่งๆ ไม่พูดอะไร (เพราะโกรธ) อยู่สักห้านาที เห็นทีว่าทั้งห้องไม่หยุดคุยแน่ๆ เราก็เก็บของเงียบๆ เดินออกไปจากห้องแบบไม่พูดอะไร (อาการโกรธของเราคือเงียบ)
สักพักหัวหน้าห้อง เดินมาที่ห้องพัก มาขอโทษ...มาสัญญาว่าจะไม่คุยกันอีกแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่คุยกันจริงๆ (พูดค่อยๆ กันเอา)
ตอนนั้นเราก็รู้สึกผิดมาก ที่ไปโกรธนักศึกษา แล้วออกจากห้องอย่างงั้นไปได้ยังไง ไม่น่าเลยจริงๆ ... ต้องระงับความโกรธให้ดีกว่านั้นหน่อย แต่อย่างน้อย วิธีนั้นนักศึกษาก็รับรู้ได้ และรู้จักมาขอโทษด้วย
ตอนนี้เด็กเหล่านั้นจบกันหมดแล้ว ทำอะไรกันอยู่น้า
คุณพัชรา
โอ้ ขอบคุณ คุณพัชราล่วงหน้าครับสำหรับหนังสือ
ถ้าเป็นไปได้ขอเล่มเล็กๆ นะครับจะได้มีกำลังใจอ่าน แหะๆ
คุณชายขอบ
ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ จริงด้วยนะครับ ถ้าผลัดกันโกรธได้ก็ดีเพราะยังมีคนมีสติอยู่
คุณ IS
เป็นเหตุการณ์น่าประทับใจทั้งสองฝ่ายเลยนะครับ
เห็นภาพเลยครับ แหะๆ ถ้าผมเจออาจารย์หนีออกจากห้องก็จะจดจำติดหัวเลยครับ แหะๆ
ผมรู้สึกเป็นวิธีดีกว่าตะโกนแข่งกันนะครับ
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
พึ่งมีโอกาสได้อ่าน Blog ของบำราศฯ แบบสบายๆ ในวันนี้ (แก้ตัวหรือเปล่าน๊ะ) เห็นชื่อเรื่องแล้วชอบจึงตามมาอ่าน คงไม่สายเกินไปที่ P' mom จะบอกว่ายินดีต้อนรับนะคะ ประโยชน์ของความโกรธที่เห็น สำหรับตัวเอง คือ คงได้ฝึกสติและทดสอบธรรมในตัวมั๊งคะ
P' mom อ่านว่า "พี่มัม"หรือ"พี่มอม" ดีครับ
พึ่งมีโอกาสได้อ่าน Blog ของบำราศฯ แบบสบายๆ ในวันนี้ (แก้ตัวหรือเปล่าน๊ะ)
เอ่อ ผมถือเป็นคำชมนะครับ (ไม่ได้ว่าเราไร้สาระเนอะ)
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ
ตอนนี้ผมนึกประโยชน์ได้อีกข้อแล้วคือ
ทำให้รู้คุณค่าของความเมตตามากขึ้น โดยนำไปเป็นข้อเปรียบเทียบกันนั่นเอง
คือข้อ 2 และข้อ 8 นั่นเอง
ยิ่งนึกผมยิ่งรู้สึกว่าพระธรรมคำสอนนี้ล้ำลึกจริงๆ ครับ
ความโกรธ ช่วยขจัดอารมณ์บางอย่างได้ เช่น ความกลัว ความเศร้าหมอง...
เวลาที่เราโกรธจัดๆ สิ่งที่เราเคยกลัวจะหมดไป พร้อมจะดับเครื่องชน แล้วเราอาจจะเรียนรู้เพิ่มเติมว่า สิ่งที่เราเคยกลัว จริงๆแล้วมันไม่เท่าไหร่เลย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม
เมื่อเราโกรธ แล้วแก้แค้นได้สำเร็จ นับเป็นความสุขอย่างหนึ่ง 555
เช่นการแก้เผ็ดหัวหน้าเก่า หลังจากที่ผมเกรงใจเขามานาน...ผมเองก็เคยทำมาบ้างแล้ว แต่ต้องไม่เกินขอบเขตกติกา...เอาให้แค่เขาพอรู้สึกได้ว่า เรากำลังท้าทายเขาอยู่ ก็พอ
เช่น หากว่าเขากลับมาเยี่ยมหน่วยงาน ผมก็ทำเฉย ไม่ไหว้ ไม่สนใจ...ถ้าเขาเอ่ยถาม เราก็ตอบแบบห้วนๆ ขอไปที แสดงการดื้อแพ่งให้ถึงที่สุด
จนตอนนี้เขาไม่เคยกลับมาเหยียบที่ห้องยา และไม่กล้ามองหน้าผมอีกเลย ฮ่าๆๆ สะใจ
จาก Mr.Suwanich
Mr.Suwanich
เห็นด้วยที่ว่าถ้าโกรธแล้วจะลืมเรื่องอื่นหมด (ถ้าได้ที่แล้ว) ก็ขาดสติยังไปแล้วยังกลัวอะไรอีก หึๆ
อ่านตอนแรกนึกว่าใคร อืม วิธีที่ว่าระวังไว้นะ ถ้าต่างฝ่ายต่างโกรธละก็มันจะแตกหักกันไปข้าง
แล้ว Aj.O นี่ย่อจากอะไรเหรอ