ชีวิตที่พอเพียง : ๑๑๕๘. จินตนาการทักษะครูเพื่อศิษย์ ๓. พัฒนาสมองห้าด้าน


ครูเพื่อศิษย์เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก เพราะเป็นคนที่มุ่งสร้างสรรค์ศิษย์สู่โลกยุคใหม่ มุ่งหวังให้ศิษย์มีทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งจะทำได้ดีครูเพื่อศิษย์เองต้องตั้งหน้าเรียนรู้ทักษะเหล่านั้น โดยมีความจริงว่า ไม่มีใครรู้จริง ไม่มีใครเป็นผู้กำหนดทักษะเหล่านั้นไว้อย่างตายตัว ไม่มีใครรู้วิธีการและตั้งตนเป็น กูรู ในเรื่องนี้ได้ เป็นได้เพียง “กูไม่รู้" อย่างผม

โลกยุคใหม่ให้โอกาสประชาธิปไตยแก่เราแล้ว เราต้องฉวยโอกาสนั้น

การพัฒนาสมองที่สำคัญ ที่ผมอ่านและสังเคราะห์เอามาฝากในบันทึกนี้ มาจากหนังสือ 21st Century Skills : Rethinking How Students Learn บทที่ 1 Five Minds for the Future เขียนโดยศาสตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligence) คือ Howard Gardner

นี่คือพลังสมอง หรือจริต ๕ แบบ ที่คนในอนาคตจะต้องมี และครูเพื่อศิษย์จะต้องหาทางออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้พัฒนาการสมองใน ๕ ด้านนี้ โดยที่จริงๆ แล้วครูสอนไม่ได้ แต่ศิษย์เรียนได้ และเรียนได้ดี หากครูมีวิธีการที่ดีในการจัดการเรียนรู้ให้แก่ศิษย์

พลังสมอง ๓ ใน ๕ ด้านนี้ เป็นพลังเชิงทฤษฎี หรือที่เรียก cognitive mind ได้แก่ สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind) สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind) และสมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind) อีก ๒ ด้านเป็นพลังด้านมนุษย์สัมผัสมนุษย์ ได้แก่ สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind) และด้านจริยธรรม (ethical mind)

การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมอง ๕ ด้าน ไม่ดำเนินการแบบแยกส่วน แต่เรียนรู้ทุกด้านไปพร้อมๆ กัน หรือที่เรียกว่าเรียนรู้แบบบูรณาการ และไม่ใช่เรียนจากการสอน แต่เป็นการเรียนจากการปฏิบัติโดยตัวนักเรียนเอง แต่ครูมีความสำคัญมาก เพราะจะเรียนได้อย่างมีพลัง ครูต้องทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ และช่วย facilitate หรือเป็นโค้ช ครูที่เก่งและเอาใจใส่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ลึกและเชื่อมโยง นี่คือมิติทางปัญญา

สมองด้านวิชาและวินัย

คำว่า disciplined มีได้ ๒ ความหมาย คือหมายถึงมีวิชาเป็นรายวิชาก็ได้ และหมายถึงเป็นคนมีระเบียบวินัยบังคับตัวเองให้เรียนรู้เพื่ออยู่ในพรมแดนความรู้ ก็ได้ ในที่นี้ หมายถึงมีความรู้และทักษะในวิชาในระดับที่เรียกว่าเชี่ยวชาญ (master) และสามารถพัฒนาตนเองในการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

หลักการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ บอกเราว่า คำว่า “เชี่ยวชาญ" ในโรงเรียน หรือในการเรียนรู้ของเด็ก ต้องคำนึงถึงบริบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบทของการเจริญเติบโตทางสมองของเด็ก “เชี่ยวชาญ" ในวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ๖ ขวบ กับของเด็ก ๑๒ ขวบต่างกันมาก และต้องไม่ลืมว่าเด็กบางคนอายุ ๑๐ ขวบ แต่ความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ของเขาเท่ากับเด็กอายุ ๑๓ ปี หรือในทางตรงกันข้าม เด็กบางคนอายุ ๑๐ ขวบ แต่ความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ที่เขาสามารถมีได้ เท่ากับเด็กอายุ ๗ ขวบ

คำว่า “เชี่ยวชาญ" หมายความว่า ไม่เพียงรู้สาระของวิชานั้น แต่ยังคิดแบบผู้ที่เข้าถึงจิตวิญญาณของวิชานั้น คนที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ไม่เพียงรู้เรื่องราวทางประวิติศาสตร์ แต่ยังคิดแบบนักประวัติศาสตร์ด้วย

เป้าหมายคือการเรียนรู้แก่นวิชา ไม่ใช่จดจำสาระแบบผิวเผิน รู้แก่นวิชาจนสามารถเอาไปเชื่อมโยงกับวิชาอื่นได้ และสนุกกับมันจนหมั่นติดตามความก้าวหน้าของวิชาไม่หยุดยั้ง

สมองด้านสังเคราะห์

นี่คือความสามารถในการรวบรวมสารสนเทศและความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมากลั่นกรองคัดเลือกเอามาเฉพาะส่วนที่สำคัญ และจัดระบบนำเสนอใหม่อย่างมีความหมาย คนที่มีความสามารถสังเคราะห์เรื่องต่างๆ ได้ดีเหมาะที่จะเป็นครู นักสื่อสาร และผู้นำ

ครูต้องจัดให้ศิษย์ได้เรียนเพื่อพัฒนาสมองด้านสังเคราะห์ ซึ่งต้องเรียนโดยการฝึกเป็นสำคัญ โดยครูต้องเสาะหาทฤษฎีเกี่ยวกับการสังเคราะห์มาใช้ในขั้นตอนของการเรียนรู้จากการทำ reflection หรือ AAR หลังการทำกิจกรรมเพื่อฝึกหัด คือผมเชื่อว่า การฝึกสมองด้านสังเคราะห์ต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ “ปฏิบัตินำ ทฤษฎีตาม"

และการสังเคราะห์ กับการนำเสนอเป็นคู่แฝดกัน โดยการนำเสนอมีได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งนำเสนอเป็นเรียงความ เป็น multimedia presentation เป็นภาพยนตร์สั้น เป็นละคร ฯลฯ

สมองด้านสร้างสรรค์

นี่คือทักษะที่คนไทยขาดที่สุด โดยที่คุณสมบัติสำคัญที่สุดของสมองสร้างสรรค์คือ “คิดนอกกกรอบ"

แต่คนเราจะคิดนอกกรอบเก่งต้องเก่งความรู้ในกรอบเสียก่อน แล้วจึงคิดออกไปนอกกรอบนั้น ถ้าคิดนอกกรอบโดยไม่มีความรู้ในกรอบเรียกว่าคิดเลื่อนลอย

คนที่มีความรู้และทักษะอย่างดีเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ ต่างจากผู้สร้างสรรค์ตรงที่ผู้สร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ๆ ออกไปนอกขอบเขตหรือวิธีการเดิมๆ โดยที่มีจินตนาการแหวกแนวไปจากเดิม และการสร้างสรรค์ต้องใช้สมองหรือทักษะอื่นๆ ทุกด้านมาประกอบกัน

การสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่มักเป็นผลงานของคนอายุน้อย เพราะคนอายุน้อยมีธรรมชาติติดกรอบน้อยกว่าคนอายุมาก เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการมีความรู้เชิงวิชาและวินัย และความรู้เชิงสังเคราะห์มากเกินไปอาจลดทอนความสร้างสรรค์ก็ได้ และเป็นที่เชื่อกันว่าความสร้างสรรค์นั้นเรียนรู้หรือฝึกได้ ครูเพื่อศิษย์จึงต้องหาวิธีฝึกฝนความสร้างสรรค์ให้แก่ศิษย์

สมองที่สร้างสรรค์ คือสมองที่ไม่เชื่อว่าวิธีการหรือสภาพที่ถือว่าดีที่สุดที่มีอยู่นั้น ถือเป็นที่สุดแล้ว เป็นสมองที่เชื่อว่ายังมีวิธีการหรือสภาพที่ดีกว่าอย่างมากมายซ่อนอยู่หรือรอปรากฏตัวอยู่ แต่สภาพหรือวิธีการเช่นนั้นจะเกิดได้ต้องละจากกรอบวิธีคิดหรือวิธีดำเนินการแบบเดิมๆ

ศัตรูสำคัญที่สุดของความคิดสร้างสรรค์คือการเรียนแบบท่องจำ

เปรียบเทียบสมอง ๓ แบบข้างต้นได้ว่า สมองด้านวิชาและวินัยเน้นความลึก (depth) สมองด้านการสังเคราะห์เน้นความกว้าง (breadth) และสมองด้านสร้างสรรค์เน้นการขยายหรือฝืน (stretch)

สมองด้านเคารพให้เกียรติ

คุณสมบัติด้านเคารพให้เกียรติผู้อื่นมีความจำเป็นในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ผู้คนเคลื่อนไหวเดินทางและสื่อสารได้ง่าย คนเราจึงต้องพบปะผู้อื่นจำนวนมากขึ้นอย่างมากมาย และเป็นผู้อื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายทั้งด้านกายภาพและด้านนิสัยใจคอ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ความเชื่อ ศาสนา มนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ จึงต้องเป็นคนที่คุ้นเคยและให้เกียรติคนที่มีความแตกต่างจากที่ตนคุ้นเคยได้

ที่สำคัญคือ ต้องไม่มีอคติ ทั้งด้านลบและด้านบวก ต่อคนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างความเชื่อ

ครูเพื่อศิษย์จะฝึกฝนสมองด้านนี้ของศิษย์อย่างไร หากศิษย์ของท่านเป็นเด็กมุสลิม เป็นเด็กในเมือง เป็นเด็กชนเผ่า นี่คือความท้าทาย หากโรงเรียนของท่านมีเด็กนักเรียนจากหลากหลายวัฒนธรรม การจัดการเรียนรู้น่าจะง่ายขึ้น แต่ในกรณีที่นักเรียนของโรงเรียนที่ท่านสอนเป็นเด็กจากวัฒนธรรมและชนชั้นเดียวกัน ครูจะจัดให้เด็กเรียนรู้เพื่อเติบโตสมองด้านนี้อย่างไร เป็นความท้าทาย

สมองด้านจริยธรรม

นี่คือทักษะเชิงนามธรรม และเรียนรู้ซึมซับได้โดยการชวนกันสมมติและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน ว่าตัวเองเป็นอย่างไรในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหากคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมด โลกจะเป็นอย่างไร รวมทั้งอาจเอาข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาคุยกัน และผลัดกันออกความเห็นว่าพฤติกรรมในข่าวก่อผลดีหรือผลเสียต่อการอยู่รวมกันเป็นสังคมที่มีสันติสุขอย่างไร

ตัวอย่างที่เอามาเป็นกรณีศึกษาควรมีความแตกต่างหลากหลาย รวมหลายๆ กรณีศึกษาแล้ว เป็นภาพจริงของสังคม ที่มีทั้งคนดีคนเลว

แน่นอนว่า สมองด้านจริยธรรมปลูกฝังกล่อมเกลามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เรื่อยมาจนโต และผมเชื่อว่าเรียนรู้พัฒนาได้จนสูงวัยและตลอดอายุขัย

ข้อสังเกตส่วนตัวของผมก็คือ แนวความคิดเรื่องห้าฉลาดนี้ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการพัฒนาทฤษฎี ครูเพื่อศิษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพัฒนาทฤษฎีขึ้นใช้เอง ทฤษฎีไม่ใช่สิ่งตายตัว มีสิทธิ์สร้างเฉพาะนักวิชาการยิ่งใหญ่เท่านั้น คนที่มุ่งมั่นทำงานด้านใดด้านหนึ่งมีสิทธิ์พัฒนาทฤษฎีขึ้นใช้เป็นแนวทางในการทำงานสร้างสรรค์ของตน

ดังนั้น ครูเพื่อศิษย์ทุกคนควรสร้างทฤษฎีในการทำงานของตน แล้วลงมือปฏิบัติและหาทางเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของตนถูกต้องหรือมีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงอย่างไร การทำงานแบบนี้ คือการทำงานบนฐานการวิจัยนั่นเอง ผลงานวิจัยบางส่วนจะสามารถนำมาเป็นผลงานเพื่อการเลื่อนตำแหน่งได้ ดีกว่าการทำ “ผลงาน" ปลอมๆ ที่ทำกันในปัจจุบันอย่างมากมาย

วิจารณ์ พานิช
๔ ธ.ค. ๕๓



หมายเลขบันทึก: 418836เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2011 15:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 20:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

กระผมเข้ามานั่งอ่านทุกตัวอักษร ขอขอบพระคุณมากครับ ที่ได้นำความรู้อันเป็นความรู้ที่เป็นองค์รวม กระผมขอนำมาปรับปรุงตนเองจากการอ่านตามความเข้าใจตนเอง เนื่องจากเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากในการฝึกจักรยาน ฝึกนักกีฬาให้เข้าใจในความหมายของความสร้างสรรค์ การใช้ชีวิต การใช้พลังในสถานะนักกีฬา ขึ้นไปในอนาคตขอรับ

...

ด้วยความเคารพ

ขอบพระคุณท่านที่ได้สรุปไว้นานมาแล้วอ่านแบบตั้งใจ และมีความมุ่งมั่น การจินตนาการของท่านคงจะใกล้ความจริงมากขึ้นทุกวัน ตราบใดที่เกิดการพัฒนาครูทีึ่ลงมือปฏิบัติการแบบครูเพื่อศิษย์ ไม่ใช่เรียนรู้แบบอ่านแล้วตอบ UTQ นะคะ ดิฉันขออนุญาตได้นำบทความนี้ไปเขียนสาระสังเขปค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท