เป็นอีกครั้งที่คุณยิบ พันจันทร์ ติดต่อเราเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีปัญหาของกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย ตั้งแต่เริ่มแรกที่เราทำงานกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณยิบติดต่อสัมภาษณ์อาจารย์พันธุ์ทิพย์ เพื่อขอสัมภาษณ์ปัญหาที่เกี่ยวกับคนไร้รัฐไร้สัญชาติเพื่อออกรายการโทรทัศน์ทางช่อง ๑๑ และหลังจากนั้นคุณยิบก็ได้เขียนเรื่องราวของอาจารย์อายุ นามเทพ อาจารย์นักดนตรีไร้สัญชาติที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยใหญ่หลวงยิ่งนักอย่างละเอียดและวาบซึ้ง ทำให้เห็นถึงความสนใจและใส่ใจอย่างยิ่งของคุณยิบที่มีต่อเรื่องนี้
และไม่นานมานี้ คุณยิบเพิ่งเข้ามาร่วมการตรวจสอบปัญหาของครอบครัวไร้สัญชาติครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีสมาชิกที่ไร้สัญชาติถึง ๗ คน นับลงมาตั้งแต่คุณแม่สันทีผู้เป็นแม่และยายอายุ ๖๐ ปี จนถึงเด็กชายวิษณุหลานชายตัวน้อยอายุเพียง ๑๑ ปี อาจเพราะความชัดเจนของปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วกับครอบครัวนี้และด้วยความเอื้ออาทรของคุณยิบ คุณยิบเสนอตัวทันทีถึงความช่วยเหลือใดที่คุณยิบสามารถทำให้ได้ ทางเราจึงไม่รีรอที่จะขอให้คุณยิบช่วยทำความเข้าใจกับสังคมถึงปัญหาต่างๆ ของกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย โดยการเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาออกไปในฐานะที่คุณยิบเป็นสื่อมวลชน สองวันต่อมาข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาของครอบครัวนี้และกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติก็ถูกเผยแพร่ออกไปในรายการของคุณยิบทางสถานีวิทยุจุฬาฯ
และในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการออกรายการโทรทัศน์สด และ คุณยิบมีเวลาให้กับคนไร้รัฐไร้สัญชาติถึงชั่วโมงครึ่ง พวกเราจึงเสนอที่จะให้มีการพูดถึงปัญหาหนึ่งอันสำคัญยิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติและมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาของคนไร้รัฐไร้สัญชาติ นั่นคือ เรื่องของการจดทะเบียนการเกิดให้กับลูกของพ่อหรือแม่ที่ตกอยู่ในภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ
ปัญหาของคนไร้รัฐไร้สัญชาติกับการจดทะเบียนการเกิดให้กับลูกของตนเองเราพบว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่คนไร้รัฐไร้สัญชาติ หรือ ครอบครัว เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีหลักฐานเอกสารการรับรองการเกิดจากรัฐใดๆ เราสอบพบได้แต่เพียงจากปากคำหรือพยานแวดล้อมอื่นๆ ว่าคนเหล่านี้ได้เกิด ณ ที่แห่งไหน เวลาใด และพ่อแม่เป็นใคร ซึ่งก็จะเป็นข้อมูลที่อาจไม่น่าเชื่อถือ อาจไม่ชัดเจน ขาดตกบกพร่อง หรืออาจไม่สามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติที่มีอายุมากแล้ว เกิดก่อนประเทศไทยหรือประเทศต้นทางจะมีระบบทะเบียนราษฎรที่ดีพอ หรือกลุ่มคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่อาจเกิดจากหมอตำแย หรือ เกิดในพื้นที่ที่ห่างไกลตัวเมือง ซึ่งยังคงพบได้เช่นกันในบุคคลผู้มีสัญชาติไทยทั่วไป แต่สัดส่วนของปัญหาก็เริ่มแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มคนรุ่นหนุ่มสาวจนถึงเด็กๆ รุ่นหลัง จนกระทั่งเจ้าตัวเล็กตัวน้อยที่เกิดมาในวันเวลาที่เปลี่ยนไป
ในวันเวลาที่กฎหมายและนโยบายทั้งภายในรัฐและในสังคมระหว่างประเทศ ตลอดจนระเบียบวิธีการจัดสรรประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันมีความชัดเจนและให้ความสำคัญต่อการจดทะเบียนการเกิดของเด็กทุกคนที่เกิดมา วันเวลาที่สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกกล่าวขานและดูจะสำคัญยิ่งยวดกว่าที่เคยเป็นมา การรับรองตัวบุคคลในทางกฎหมายของเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ไร้รัฐไร้สัญชาตินั้นกลับยังเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และสม่ำเสมอด้วยสาเหตุที่ว่าถูกปฏิเสธการแจ้งเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ความจริงแล้วการจดทะเบียนการเกิดเป็นเรื่องที่ไม่มีเงื่อนไขด้วยเชื้อชาติ ภาษา หรือ วัฒนธรรม ยิ่งหากพ่อหรือแม่ของเด็กเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติด้วยแล้ว เรายิ่งต้องบันทึกความเป็นตัวบุคคลของเด็กให้มากและละเอียดถูกต้องที่สุดเพื่อประโยชน์ในการจัดการปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติที่มีอยู่
แต่เราก็ยังคงพบปัญหาการปฏิเสธการแจ้งเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ และโดยไม่น่าเชื่อว่าเป็นปัญหาที่มักพบในพื้นที่ที่มีคนไร้รัฐไร้สัญชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย ประเด็นไม่ใช่เพราะมีคนไร้รัฐไร้สัญชาติอยู่มากแล้วปัญหาจึงพบมาก เพราะในพื้นที่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่ย่อมควรที่จะเข้าใจเป็นอย่างดีและปัญหาเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิด ในทางตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัดในพื้นที่ทั่วไปที่ไม่ค่อยมีคนไร้รัฐไร้สัญชาติอาศัยอยู่เจ้าหน้าที่กลับตระหนักและเป็นกังวลกับการที่เด็กสักคนจะไม่ได้รับการแจ้งเกิดเป็นอย่างดี ความไม่เข้าใจที่จะไม่รับรองการเกิดของเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติจึงไม่น่าจะใช่ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งเช่นกัน
แต่ประเด็นสำคัญที่ยากจะปฏิเสธและอาจอธิบายเราทุกคนได้เป็นอย่างดี คือ ทัศนคติด้านลบที่มีต่อกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และ ความหวาดกลัวในใจที่เด็กเหล่านี้จะมีสัญชาติไทยต่อไปในอนาคต ทั้งที่ความจริงแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นอาจมีสัญชาติไทยอยู่ตั้งแต่เกิดเพราะเค้าได้เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นคนไทย และการที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายว่าสัญชาติของประเทศไทยมิได้ขึ้นแต่เพียงการได้จดทะเบียนการเกิดในประเทศไทย
ความรังเกียจ ความหวาดกลัว และความไม่รู้ จึงอาจเป็นสาเหตุที่เด็กจำนวนมากถูกละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน สิทธิในการถือสัญชาติซึ่งอาจไม่ใช่เพียงเฉพาะสัญชาติไทย
การจดทะเบียนการเกิดกับการนำไปสู่ความไร้รัฐไร้สัญชาติของเด็ก และ เยาวชนในประเทศไทยดังที่กล่าวมา การจดทะเบียนของเด็กที่เกิดจากบุพพารีไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทยมิได้ทำให้เด็กคนนั้นได้รับสัญชาติไทยเสมอไปเพราะเรื่องสัญชาติของบุคคลเป็นเรื่องทางกฎหมายที่มีเฉพาะตัวและจำต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน หรือ ไม่เป็นที่ต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนการจดทะเบียนการเกิดเป็นการบันทึกและรับรองตัวบุคคลในทางกฎหมายว่ามนุษย์ตัวน้อยที่เกิดมาใหม่นี้ ชื่ออะไร เกิดที่ไหน เมื่อไหร่ จากพ่อแม่ชื่ออะไร เชื้อชาติอะไร หรือ มีสัญชาติใดหรือไม่ อันจะนำไปสู่ความสามารถในการแยกแยะหรือจัดสรรตัวบุคคลในระบบทะเบียนราษฎรได้อีกต่อไป
แต่หากเมื่อมนุษย์ตัวน้อยเกิดมาแล้วไม่ได้รับการจดแจ้งอะไร และ ไม่เข้าสู่ระบบทะเบียนของรัฐที่เค้าเกิดหรือรัฐใดๆ ก็ตามแล้ว แน่นอนแม้ว่าความเป็นมนุษย์ของเค้าก็จะยังคงอยู่โดยที่เรามิอาจไปชี้ได้ว่าเค้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญยิ่งยวดในสังคมของรัฐสมัยใหม่ที่ใช้สัญชาติและภูมิลำเนาเป็นตัวจัดสรรประชากรมนุษย์นั้นจะทำให้มนุษย์ตัวน้อยที่ไม่ได้รับการแจ้งเกิดนั้น ยังคงไม่มีความเป็นมนุษย์ทางกฎหมายแต่อย่างใด ยังคงเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตน ไม่มีการบันทึกชื่อหรือข้อมูลของบุคคลนั้น และในที่สุดหากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาจนกระทั่งบุคคลนั้นเติบโต เค้าก็มีโอกาสเสี่ยงอย่างมากที่จะเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติที่จะให้กำเนิดมนุษย์ตัวน้อยที่อาจจะไร้รัฐไร้สัญชาติขึ้นมาได้อีก ความพยายามอย่างยิ่งที่มีมาตลอดของรัฐบาลไทย และ สังคมระหว่างประเทศที่จะขจัดปัญหาภาวะความไร้รัฐไร้สัญชาติของมนุษย์ในโลกนี้ก็อาจจะสูญเปล่าและไม่มีที่สิ้นสุด
และปัญหาสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการที่มนุษย์ตัวน้อยคนหนึ่งไม่ได้รับการรับรองการเกิดหรือความเป็นมนุษย์ คือ ความมั่นคงของมนุษย์ตัวน้อยนั้นจะไม่มีวันเกิดเนื่องจากความไม่มีตัวตนหรือการถูกปฏิเสธที่จะรับรองสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทางกฎหมายนั้น ได้ทำให้เค้าไม่สามารถที่จะเข้าถึงสิทธิต่างๆ ทั้งสิทธิขั้นพื้นฐานที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดหาใช่สิทธิที่เราจะต้องให้แก่เค้า หรือ สิทธิที่จะพัฒนาตนเองและใช้ศักยภาพของตนเองเพื่อไม่ตกเป็นภาระของผู้อื่น เมื่อความมั่นคงในมนุษย์ผู้นั้นไม่เกิดแล้วความมั่นคงของสังคมที่มนุษย์นั้นอาศัยอยู่จะมั่นคงได้อย่างไรกัน
ความผิดพลาดของทัศนคติ ความหวาดกลัวและความไม่รู้ที่เลวร้ายต่อมนุษย์ตัวน้อยๆ นั้น จึงอาจจะไม่ทำร้ายเพียงครอบครัวของมนุษย์ตัวน้อยนั้นเท่านั้น แต่อาจทำร้ายทำลายความสงบเรียบร้อยที่ดีของสังคม ทำร้ายความพยายามของคนในชาติบ้านเมืองที่จะจัดระเบียบจัดสรร และแก้ไขปัญหาต่างๆ ของสังคมให้ลุล่วงคลี่คลายต่อไปอีกด้วย
ปัญหาการจดทะเบียนการเกิดที่กำลังจะถูกนำมาทำความเข้าใจอีกครั้ง.............โดยคุณยิบ พันจันทร์ในวันศุกร์ที่ ๑๖ มิถุนายน นี้ ที่สถานีโทรทัศน์ ASTV เวลา ๒๐.๓๐ – ๒๒.๐๐ น. เรื่องปัญหาของการจดทะเบียนการเกิดให้กับเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่ไร้รัฐไร้สัญชาตินั้น จะถูกนำมาเล่าสู่เพื่อทำความเข้าใจต่อสังคมอีกครั้งโดยคุณยิบ พันจันทร์ และ อาจารย์แหวว ของเรา
ด้วยความยาวนานของรายการและเป็นรายการสด จึงมีข้อเสนอและข้อหารือในการถ่ายทอดเรื่องราวนี้ต่อคุณยิบด้วยหลายประการ ซึ่งคุณยิบก็ยินดีและพร้อมที่หารือร่วมกัน และยังถือเป็นร่างของรูปแบบรายการที่จะพูดคุยกันดังนี้ คือ รายการได้แบ่งออกเป็น ๓ เบรก เบรกละครึ่งชั่วโมง
เบรกที่ หนึ่ง เป็นการเล่าเรื่องราวปัญหาข้อเท็จจริงที่คนไร้รัฐไร้สัญชาติประสบในเรื่องของการจดทะเบียนการเกิดให้กับเด็กแรกเกิด โดยเชิญเจ้าของปัญหาเข้าร่วมในรายการ คือ พ่อและแม่ผู้ไร้รัฐไร้สัญชาติทั้งคู่ของเด็กชายวิษณุที่คลอดลูกในโรงพยาบาลแต่ยังไม่มีหนังสือรับรองการเกิด และยังไม่ได้แจ้งเกิดให้กับลูกของตนเอง จนปัจจุบันเด็กชายวิษณุอายุ ๑๑ ปีแล้ว ยังไม่มีเอกสารพิสูจน์ตนใดๆ นอกจากสมุดพกนักเรียน และ พ่อผู้มีสัญชาติไทยของน้องแพรเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงไม่ถึงเดือนที่เกิดจากแม่ซึ่งถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐปฏิเสธการแจ้งเกิดแม้ว่าจะมีหนังสือรับรองการเกิดจากโรงพยาบาล
เบรกที่ สองเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมการปกครองในส่วนที่เกี่ยวข้องและบุคคลจากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งกำลังทาบทามผอ.ไกรราศ แก้วดี ฝ่ายทะเบียนราษฎร คุณจิราพร บุนนาค รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ อาจารย์พันธุ์ทิพย์ สายสุนทร จะอธิบายย้ำและถ่ายทอดถึงข้อกฎหมาย และ นโยบาย ในเรื่องนี้เพื่อการแก้ไขปัญหา และ ป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำขึ้นอีกในอนาคต เพื่อการทำความเข้าใจ และให้ความมั่นใจแก่ประชาชน หรือ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่จะปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่ และเสริมสร้างทัศนคติและความเข้าใจอันดีมากขึ้นในเรื่องดังกล่าว
เบรกที่ สาม เป็นการตอบข้อซักถามต่อผู้ชมที่จะ Phone in เข้ามาในรายการ หรือ การซักถามโดยผู้ประสบปัญหาท่านอื่นๆ ในโครงการวิจัยที่ไม่สามารถเข้าร่วมรายการได้ ตลอดจนการเสนอปัญหาโดยท่านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น ปัญหาของภาคประชาชนที่ประสบในการเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเรื่องนี้