เมื่อเช้านี้ผู้วิจัยได้มีโอกาสดูรายการ "เวทีชาวบ้าน" ทางช่อง 11 โดยเนื้อหาของรายการในวันนี้สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
ส่วนแรก เน้นไปที่การประสานความร่วมมือระหว่าง 3 ภาคส่วน คือ ภาคชุมชน (ประชาชน) , ภาควิชาการ , ภาคการเมือง (อปท.) ในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความยากจน
ผู้วิจัยรู้สึกประทับใจข้อสรุปของพิธีกรที่บอกว่า "ข้อมูลเปลี่ยนชีวิต" ซึ่งเป็นข้อสรุปของชีวิตประชาชนคนหนึ่งที่หันมาทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนเอง จนกระทั่งทราบว่าที่ตัวเองเป็นหนี้เพราะอะไร จะหาทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของตัวเองอย่างไร ผู้วิจัยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้คนในชุมชนปฏิบัติได้เช่นนี้ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน จากประสบการณ์ที่ตนเองได้เคยลงพื้นที่ในหลายหมู่บ้าน พบว่า มีหน่วยงานเข้าไปส่งเสริมให้ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนเองมากมาย แต่ก็ไม่ได้ผล มีชาวบ้านเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ แม้กระทั่งบ้านสามขาซึ่งโด่งดังในเรื่องการทำบัญชีครัวเรือน ผู้วิจัยได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่เขียนขึ้นโดยนักวิจัยชาวบ้านของบ้านสามขา ปราชญ์ชาวบ้านเหล่านั้นก็ยังยอมรับว่ามีประชากรเพียงประมาณ 20% เท่านั้นที่ทำบัญชีครัวเรือนสมำเสมอ
ในส่วนของภาควิชาการก็เช่นกัน ผู้วิจัยรู้สึกประทับใจท่านอาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่เสียสละเวลาลงมาทำงานกับชาวบ้าน และไม่ยัดเยียดสิ่งที่ตนรู้ให้ชาวบ้านทำ แต่ใช้วิธีการให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยนักวิชาการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง
สุดท้าย คือ ส่วนของภาคการเมือง เห็นแล้วรู้สึกชื่นชมที่พื้นที่นี้ (จำพื้นที่ไม่ได้ค่ะ) มีนายก อบต. ที่เสียสละ มีวิสัยทัศน์ ยอมรับความจริง และทำงานเพื่อส่วนรวม หากในประเทศไทยมีผู้นำอย่างนี้มากๆ ภาคประชาชนจะมีกำลังใจ และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง
สำหรับในส่วนที่สองนั้น เป็นเรื่องโครงการจังหวัดบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นความร่วมือของ สกว. , พอช. , กระทรวงมหาดไทย นำร่องใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ มีการกล่าวถึงปัญหาที่ดินทำกินของจังหวัดต่างๆทั่วประเทศไทย ผู้วิจัยก็ดูบ้าง ไม่ดูบ้าง เพราะ ฟังปัญหาแล้วรู้สึกเศร้าใจ โดยเฉพาะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา พอทางราชการประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ พื้นที่ต้นนำ และพื้นที่อื่นๆ ปรากฎว่ามีที่ดินซึ่งชาวบ้านสามารถทำกินได้อย่างถูกต้องเหลือเพียงไม่ถึง 5% ซึ่งปัญหานี้ก็คล้ายๆกับที่หลายหมู่บ้านในจังหวัดลำปางประสบอยู่ ชาวบ้านหากินกันมาตั้งนานแล้ว พอราชการประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ออกมา ปรากฎว่าทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมามากมาย ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ผู้วิจัยได้เคยมีโอกาสนำนักศึกษาเข้าไปศึกษาชุมชนบริเวณพื้นที่อุทยานฯ ปรากฎว่า ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากกว่าที่เราคิดไว้มาก สินค้าที่หาได้จากในป่าก็ต้องใช้เส้นทางลำเลียงที่ยากลำบากกว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งๆที่เส้นทางดีๆก็เห็นกันอยู่ อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่สามารถใช้ได้ น่าเห็นใจจริงๆค่ะ
สรุปประเด็นได้ดี มีสาระ น่าสนใจมากครับ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วย
มีบางประเด็นอยากแลกเปลี่ยน คือ กรณีการทับซ้อนกับพื้นที่ทำกินของชาวเขา
ในแง่มุมด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า ขอบเขตของพื้นที่ป่า บางแห่งได้กำหนดไว้ก่อน
และบางแห่งกำหนดตามมาภายหลัง ทำให้เกิดปัญหาทับซ้อนดังกล่าว
ในการบุกรุกแผ้วถางป่า ชาวเขาบางคนก็ตกเป็นเครื่องมือนายทุน โดยเขาขาดความรู้ ความเข้าใจ และสภาพแวดล้อมบีบบังคับ รวมถึงในแง่กฎหมายที่เป็นคนชายขอบ
คนพลัดถิ่น
การทำความเข้าใจพื้นที่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์และหลักคิดอย่างเป็นระบบ และสหวิทยาการ(Interdisplinaly)ทั้งนี้ คุณอาจมีอาศัยในสายวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ นักพัฒนา มาช่วยมองครับ เพื่อให้เข้ามุมมองภาครัฐ เอกชน ประชาชน สื่อมวลชน และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ มิฉะนั้น อาจทำให้เราในฐานะผู้สอน สื่อความรู้สึกส่วนตัวลงไปมาก ซึ่งในการสอนควรให้นักศึกษาฝึกวิเคราะห์ และตัดสินใจหาข้อสรุปเอง ส่วนอาจารย์เป็นพี่เลี้ยง
จากข้อเขียนของคุณวิไลลักษณ์ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน และงดงามดีครับ
รักษาไว้นานนะครับ เพราะบางที ก็อาจทำให้มองลบของฝ่ายตรงข้ามได้ จึงต้องทำใจเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ของทุกฝ่ายครับ
ผมอยู่ใน blog คมผญา ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรุ้ร่วมกันครับ