ตัวแปร (Variable)
ตัวแปร หมายถึง สิ่งที่ได้จากการสังเกต วัด สอบถามจากหน่วยที่ศึกษาที่มีค่าได้หลายค่าและเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ได้ เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ ตำแหน่งงาน เป็นต้น เมื่อหน่วยศึกษาแตกต่างกัน ข้อมูลที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป เช่น ตัวแปร คือ อายุ ข้อมูลที่ได้จากหน่วยที่ศึกษาอาจมีอายุเป็น ๑๘, ๒๐,๓๐ เป็นต้น หรือตัวแปรคือระดับการศึกษา
ข้อมูลที่ได้จากหน่วยศึกษาอาจเป็นระดับมัธยมศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท เป็นต้น หากหน่วยที่ได้ศึกษาใดก็ตามให้ข้อมูลเหมือนกันหมดหรืออย่างเดียวจะไม่เรียกหน่วยศึกษานั้นว่าตัวแปร เช่น ความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานเท่ากันหมด ความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่จัดว่าเป็นตัวแปร เป็นต้น สำหรับตัวแปรทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความคิดเห็น ความพึงพอใจ การมีส่วนร่วม เป็นต้น
ประเภทของตัวแปร
โดยทั่วไปตัวแปรจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ตัวแปรเชิงปริมาณ คือตัวแปรที่ประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นตัวเลข ใช้แทนขนาดหรือปริมาณ เช่น อายุ ประกอบด้วยอายุต่าง ๆ หน่วยเป็นปี เป็นต้น ตัวแปรอีกตัวหนึ่งคือตัวแปรเชิง คุณภาพ หรืออาจเรียกว่าตัวแปรเชิงกลุ่ม คือ ตัวแปรที่ประกอบด้วยข้อมูลที่ไม่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ เช่น เพศ ประกอบด้วยเพศต่าง ๆ ไม่มีหน่วยวัด แต่สามารถแทนค่าเป็นตัวเลขได้โดยไม่สามารถนำมาคำนวณแทนได้ เช่นเพศชายให้แทนค่าเป็นหมายเลข ๑ เพศหญิงให้แทนค่าเป็นหมายเลข ๒ เป็นต้น
ลักษณะและชนิดของตัวแปร
ตัวแปรที่พบเห็นในงานวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งจะศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะและการมีส่วนร่วมของมนุษย์ ซึ่งสามารถแบ่งลักษระของตัวแปรออกได้เป็น ๒ ลักษณะ ด้วยกัน ได้แก่
๑.ตัวแปรที่แสดงความหมายในลักษณะที่คนทั่วไปรับรู้ตรงกันหรือสอดคล้องกันเป็นรูปธรรม เช่น เพศ อายุ รายได้ เชื้อชาติ เป็นต้น อาจเรียกตัวแปรชนิดนี้ว่า ตัวแปร Concept
๒.ตัวแปรที่แสดงความหมายในลักษณะเฉพาะตัวบุคคล คนทั่วไปอาจรับรู้ตรงกันหรือแตกต่างกันได้ โดยมากเป็นนามธรรม เช่น ความคิดเห็น การมีส่วนร่วม ความเป็นผู้นำ ทัศนคติ ซึ่งสังเกตโดยตรงไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือในการวัด อาจเรียกตัวแปรชนิดนี้ว่า ตัวแปร Construct
ในการวิจัยผู้วิจัยจำเป็นต้องจำแนกตัวแปรตามการวิเคราะห์ว่าตัวแปรทั้งหมดกี่ตัว มีอะไรบ้าง และเป็นตัวแปรชนิดใดบ้าง ซึ่งสามารถจำแนกตัวแปรได้ ดังนี้
๑.ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) คือตัวแปรที่เกิดขึ้นก่อนหรือเป็นตัวแปรที่เป็นเหตุ ทำให้เกิดผลตามมา
๒.ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือตัวแปรที่เกิดขึ้นเนื่องจากตัวแปรอิสระ หรือเป็นตัวแปรผล อันเกิดจากเหตุ
ตัวอย่างของตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม เช่น การศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของผู้นำท้องถิ่น
ตัวแปรอิสระ ประกอบด้วย
๑) เพศ มี ๒ เพศ คือ เพศชาย เพศหญิง
๒)ตำแหน่ง มี ๓ ตำแหน่ง คือ นายก อบต. ประธานสภา อบต. ส.อบต.
ตัวแปรตาม ประกอบด้วย
๑) พฤติกรรมด้านการเสียสละ
๒) พฤติกรรมด้านการมีวินัย
๓) พฤติกรรมด้านความขยันหมั่นเพียร
๔) พฤติกรรมด้านความซื่อสัตย์
๕) พฤติกรรมด้านความมีน้ำใจนักกีฬา
๖) พฤติกรรมด้านการให้ความร่วมมือ
๗) พฤติกรรมด้านการรู้จักช่วยตนเอง
ตัวอย่างการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบการมีวินัยแห่งตนและผลสัมฤทธิ์ทางการอบรมผู้นำ ของ ส.อบต.ตำบลสะเดียง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างวิธีการอบรมแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์กับการอบรมแบบบรรยาย
ตัวแปรอิสระ คือ วิธีการอบรม ซึ่งมี ๒ วิธี คือ
๑) วิธีอบรมแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
๒) วิธีอบรมแบบบรรยาย
ตัวแปรตาม คือ
๑) ผลสัมฤทธิ์ทางการอบรมผู้นำ
๒) ความมีวินัยแห่งตน
๓.ตัวแปรทดลอง (Experimental Variable) เป็นตัวแปรปฏิบัติ (Treatment Variable) หรือตัวแปรอิสระ ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่เกิดขึ้นจากการทดลองหนึ่ง ๆ เพื่อให้เป็นเหตุ และเพื่อศึกษาตัวแปรที่เกิดขึ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
๔.ตัวแปรแทรกซ้อนหรือเรียกว่าตัวแปรเกิน (Extraneous Variable) เป็นตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษาของงานวิจัยเรื่อง หนึ่ง ๆ ในขณะนั้น มีลักษณะเหมือนตัวแปรอิสระ ตัวแปรแทรกซ้อนนี้จะส่งผลมารบกวนตัวแปรอิสระที่ศึกษา ทำให้ผลการวัดค่าตัวแปรคลาดเคลื่อนไปได้ ตัวแปรชนิดนี้จึงต้องทำการควบคุมให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ตัวแปรชนิดนี้ผู้วิจัยคาดการณ์ได้ว่าจะมีอะไรบ้าง จึงสามารถทำการควบคุมได้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ในการทดลองการอบรมที่กล่าวมาแล้ว เพื่อจะศึกษาว่า ผู้นำจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการอบรมแตกต่างกันหรือไม่ สิ่งที่เป็นตัวแปรแทรกซ้อนจะได้แก่ วิทยากร ถ้าใช้วิทยากรคนละคนอาจจะมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการอบรมของผุ้นำต่างกันได้ ดังนั้นจึงต้องควบคุมโดยใช้วิทยากรคนเดียวกัน นอกจากนั้น พื้นฐานของผู้เข้าอบรม ทัศนคติและความสนใจของผู้เข้าอบรมที่มีต่อวิธีการอบรมกระบวนการวิชาที่ใช้อบรม เพศของผู้เข้าอบรม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรแทรกซ้อน ผู้วิจัยต้องทำการควบคุมตัวแปรเหล่านี้ให้เกิดมีขึ้นน้อยที่สุด เพื่อให้ตัวแปรตามที่วัด เกิดจากการกระทำของตัวแปรอิสระแต่เพียงอย่างเดียว ผลการวิจัยจึงจะถูกต้องมากที่สุด
๕.ตัวแปรแทรก (Intervening Variable) เป็นตัวแปรอีกชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อตัวแปรตามคล้าย ๆ ตัวแปรแทรกซ้อน แต่มีลักษณะต่างกันตรงที่ว่าตัวแปรชนิดนี้ ผู้วิจัยไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า มีอะไรบ้าง และจะเกิดขึ้นเมื่อใด จึงไม่สามารถหาทางควบคุมได้ เช่น ความวิตกกังวล ภาวะของสุขภาพ ความตื่นเต้น เป็นต้น ตัวแปรชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากกระบวนการทางจิตวิทยา
ความผิดพลาดในการกำหนดตัวแปร
ในการกำหนดตัวแปรถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับงานวิจัย แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดจึงควรพิจารณาสาเหตุของความผิดพลาดที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้
๑.ความไม่เข้าใจในความหมายของตัวแปรสืบเนื่องมาจากผู้วิจัยขาดทักษะในการใช้ภาษาไทยหรือความรู้ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับตัวแปร เช่นคำว่าการอนุรักษ์ กับการยังคงไว้ จะมีความหมายที่แตกต่างกัน เพราะการอนุรักษ์จะมีความหมายที่กว้าง รวมถึงการดูแล รักษา ฟื้นฟู และจัดการด้วย เป็นต้น
๒.การขาดการศึกษา ทบทวน เอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ การศึกษาเอกสารต้องศึกษาและทบทวนไม่ครอบคลุม จะทำให้ได้ตัวแปรที่ไม่ถูกต้องหรือละเลยตัวแปรที่สำคัญไปโดยเฉพาะการวิจัยเชิงสาเหตุ ต้องศึกษาคัวแปรเชิงสาเหตุให้ครอบคลุมมาที่สุด
๓.การขาดทักษะในการเขียน ทำให้การระบุชื่อตัวแปรผิดพลาด เช่นการมีส่วนร่วม กับการสนใจในการมีส่วนร่วม จะมีความแตกต่างกัน ถ้าเป็นความสนใจในการมีส่วนร่วมจะต้องมีพฤติกรรมที่แสดงถึงความสนใจควบคู่กับการมีส่วนร่วม หรือถ้าชื่อตัวแปรยาวเกินไปอาจทำให้เข้าใจผิดว่ามีตัวแปรหลายตัว เช่นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ตัวแปรก็คือ การมีส่วนร่วม ส่วนประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมนั้นเป็นคำขยาย เป็นต้น
เยี่ยมเลยครับ