มีครูที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาคนหนึ่งบ่นถึงสภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนของตนเองให้ฟังด้วยความรันทดใจ พอสรุปความได้ว่า
ผอ. และรองฯ ผอ.ที่โรงเรียนเขาใช้ระบบ “เห็นชอบมอบเลขา” โดยกระจายอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ มีปัญหาก็ให้แก้ปัญหาเอาเอง คำถามที่ท่านนิยมใช้เวลาเจอกันหรือเวลาเรียกไปพบก็คือ “ทำ SARเรียบร้อยแล้วหรือยัง เขาจะมาตรวจประเมินเร็วๆนี้แล้ว ให้เร่งๆดำเนินการด้วย” เวลาจะรายงานถึงปัญหาและให้ช่วยแก้ไขก็จะรู้สึกหงุดหงิดและมักพูดตัดบทว่า ให้ไปหาทางแก้ปัญหาเอง
คราวหลังจึงไม่อยากรายงานอะไรให้รู้ จึงก้มหน้าก้มตาทำไป จะลาออกก็ไม่ได้ ตัวเองก็มีชั่วโมงสอนไม่น้อยกว่าครูคนอื่นๆ เวลาไปติดตามถามถึงผลการประเมินแต่ละมาตรฐานกับครูแต่ละคนที่รับผิดชอบ เขาก็ผัดไปเรื่อยๆ บางคนก็จะรู้สึกว่าเราไปจู้จี้เขา หรือบางคนก็ทำแบบเขี่ยๆส่งให้ เขาทำไม่เสร็จเราก็ต้องรอ พูดมากก็ไม่ได้เราเป็นครูธรรมดาด้วยกันกลัวเขาจะโกรธเอา รอไม่ไหวก็พยายามตกแต่งข้อมูลเอาเอง เพื่อทำรายงานการประเมินตนเอง(SAR) ให้เสร็จๆทันส่ง
ฟังแล้วก็รู้สึกสงสารและเห็นใจ ไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่นมีเช่นนี้บ้างไหม ซึ่งคำพูดของครูคนนี้คงพอเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของ พรบ.การศึกษาแห่งชาติและกฎกระทรวง ที่กำหนดไว้ว่า ให้สถานศึกษาใช้ระบบประกันคุณภาพการศึกษาเป็นระบบเดียวกันกับการบริหารสถานศึกษาเป็นปกติ และให้เป็นไปตามวงจร PDCA อย่างต่อเนื่อง
ถ้าเป็นเช่นนี้จริงก็แสดงว่าระบบบริหารมีปัญหาจะต้องมาทบทวนกันแล้ว เพราะในกระบวนการบริหารไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีใด เช่น POLCA ของ Harris ก็จะพูดถึง 5 กระบวนการในการบริหารคือ Planning , Organizing, Leading, Controlling, Assessing
นั่นคือเมื่อวางแผนแล้ว ก็ต้องจัดองค์กรจัดระเบียบงาน แล้วต้องมีการนำ มีการเสนอแนะ สร้างแรงจูงใจ สื่อความหมาย รวมทั้งมีระบบการกำกับติดตาม ตรวจสอบ สนับสนุนส่งเสริม สร้างขวัญกำลังใจอย่างต่อเนื่อง จนถึงการประเมินผล ไม่ใช่มอบงานแล้วปล่อยขาด ไปรอรับผลเอาตอนท้ายอย่างเดียว คนทำงานเขาก็จะรู้ทาง รู้ว่าฝ่ายบริหารไม่สนใจ เขาก็ทำตามใจเขา ตอนท้ายเขาก็จะกรอกตามแบบส่งมาให้แผ่นหนึ่งให้เอามารวมกันเป็นเล่มเพื่อบอกว่าได้ประเมินผลแล้วและมีรายงานแล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดผลดีอะไร แต่จะเกิดผลเสียหายตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะในด้านคุณธรรมจริยธรรม เราจึงพูดล้อกันจนติดปากว่า “แพลนแล้วก็นิ่ง” หรือ “แผนการส่ง” เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ สมศ.เขาเลยกำหนดเกณฑ์ประเมินให้มีทั้งอิงเกณฑ์และอิงสถานศึกษา(พัฒนา/บรรลุ/ตระหนัก/พยายาม) เพื่อให้สถานศึกษาทำวงจร PDCA ให้เป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิตนั่นเอง
ผมเคยเสนอแนะโรงเรียนที่ไปเยี่ยมมาว่า ฝ่ายบริหารน่าจะมีโครงการของตนเองสักโครงการหนึ่งคือ “การกำกับติดตามประเมินผล” หรือจะใช้ชื่ออย่างอื่นก็ได้ เช่น “นิเทศภายใน” โดยมีกิจกรรมสำคัญคือ นำแผน/โครงการ/งาน/กิจกรรม ทั้งหมดในโรงเรียน มากำหนดระบบการกำกับติดตาม สนับสนุน ส่งเสริม สร้างขวัญกำลังใจ และประเมินผล มาจัดทำเป็นแผนที่ชัดเจน มีปฏิทินติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยต้องสร้างความตระหนัก ความเห็นพ้องต้องกันกับสมาชิกในโรงเรียนให้เข้าใจกันก่อน ซึ่งก็ต้องหากลวิธีที่เหมาะสม ไม่ใช่ทำเพื่อจับผิด แต่เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอย่างเป็นกัลยาณมิตร ทุกฝ่ายก็จะทำอย่างสบายใจ ทำอย่างมีเป้าหมาย เมื่อทำบ่อยๆก็จะเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่มีคุณภาพไปเอง
อย่างนี้จึงจะเป็น SBM ที่มีการกระจายอำนาจ มีส่วนร่วม และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ แล้วเราก็จะได้วงจร PDCA ที่มีชีวิตอย่างแท้จริง
ใครมีข้อคิดเห็น หรือมีเทคนิคอะไรดีๆก็เล่าสู่กันฟังบ้าง