ถ้าจะหวังได้ พวกที่ไม่ใช่สายวิทย์ ก็ต้องดูล่ะครับ ว่าเงินจะมาจากไหน
ผมว่าพวกออกแบบ กราฟิก อนิเมชั่น พวกนี้นี่ จะทำเงิน
แล้วรัฐก็อยากจะบูมด้านนี้เหลือเกิน อาจจะได้เห็นทุนสายพวกนี้ก็ได้
(จริง ๆ ตอนนี้ก็มีแล้ว แต่อาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ เป็นทำนองอุดหนุนมากกว่า คือมีรุ่นน้องไปเรียนเขียนเกมกับโรงเรียนของการสื่อสารมั้ง เค้าจ้างอาจารย์เกาหลีมาสอนเลย มีเงินเดือนให้นักเรียนด้วย ที่พักก็มีให้ราคาถูกพิเศษ)
พูดถึงคณะกึ่ง ๆ แหม เค้าก็ต้องพยายามหาทุนครับ ว่าไม่ได้ :P
ภาคที่เคยเรียนนี่ (Informatics) วางตัวเองอยู่ตรงกลางเลย (ไม่รู้ตั้งใจป่าว)
คือเค้านอกจากทุนสายวิทย์กายภาพ/ประยุกต์ สำหรับวิทยาการคอม/ทฤษฎี ก็มีทำพวก AI, cognitive science อันนี้ก็ขอทุนสายมนุษยศาสตร์ได้ หรือทำ law informatics ก็ไปขอทุนสายสังคมศาสตร์ แถมยังดอดไปทำพวก nueroinformatics, bioinformatics เอาทุนสายวิทย์การแพทย์อีก ร้ายจริง ๆ :P ทุนสามสายหลัก ขอเอี่ยวหมด (นี่ไม่นับพวกที่เล็ก ๆ ลงมาหน่อยอย่างพวกศิลปะกับดนตรี ที่ก็ยังมีไปทำด้วย ให้คอมแต่งเพลง ทำนองนี้ - -" มั่วจริง ๆ)
แต่พูดถึง สังคมศาสตร์ ผมถือว่าสายนี้เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ
เหมือนกับ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ กระบวนการศึกษาน่าจะคล้าย ๆ กัน จะต่างกันก็ที่วัตถุที่ศึกษา
(มนุษยศาสตร์ นี่ต่างเยอะไป)
ถ้ามองอีกแนว อาชีพไหน เรียนจบกลับมาแล้ว หางานไม่ยาก เงินดี ก็ไม่น่าจะมีทุนให้เยอะ ปล่อยให้คนเค้าไปลงทุนเรียนกันเอง เพราะมันคุ้ม
แล้วไปอุดหนุนสาขาที่จบกลับมาแล้วได้เงินน้อยละกัน (เผื่อคนจะไปเรียนกันเยอะขึ้น ... เอ๊ะ แต่แบบนี้เรียกว่า spoil รึเปล่า ? สร้างความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง :P)
ผมอยากเห็นทุนของ ศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ เยอะ ๆ อ่ะครับ
อืม ผมว่าผมประหลาด จะดันเด็กคอมไซน์ให้ไปทำเกม
คือทำน่ะมันได้แน่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกม พวกทำเอนจิ้น ทำ physics ของเกม เขียนโปรแกรม
แต่จะให้วางเนื้อเรื่อง ออกแบบตัวละคร ทำกราฟิก ออกแบบระบบการเล่น ฯลฯ ทั้งหมดด้วย ... ซูเปอร์แมนไปหน่อย - -"
มองไปมองมา มันมีหลายที่ที่ประหลาดแฮะ ไม่รู้จะไปแก้ตรงไหนแค่จุดเดียวได้
อย่างนึง ความแตกต่างของค่าตอบแทนของแต่ละสาย ก็ไม่สมดุลกับความแตกต่างของเนื้องาน/ความรับผิดชอบ
อีกอย่างนึง ค่านิยมของคน (ถ้าจะโทษเขา) ... หรือความกลัวที่จะหลุดออกจากค่านิยมของสังคมที่คนนั้นดันไปอยู่ (ถ้าจะสงสารเขา) กับ เงิน กับ งาน กับ ชีวิตที่อยากใช้
เป็นเอก รัตนเรือง ให้สัมภาษณ์ในหนังสือ "อย่างน้อยที่สุด" บอกประมาณ (เท่าที่ผมเข้าใจ) ว่า
คนทำหนังไทยเก่ง ๆ เยอะ แต่คนมาทำน้อย เพราะเค้าไปทำโฆษณาหมด เงินดีกว่า ได้แน่ ๆ
ทำหนังมันเสี่ยง ตัวเขาเองก็ทำโฆษณามาก่อน และทุกวันนี้ที่มาทำหนังได้ ก็เพราะทำโฆษณามาก่อน (ทำให้ฐานะพอจะไม่เดือดร้อน ถ้าหนังเจ๊ง / คอนเนคชั่นอื่น ๆ ที่ทำให้ทุนหนังมันต่ำลงกว่าที่ีควรเป็น ฯลฯ)
โฆษณามันมีเงินมาแน่ มือถือ เหล้า เบียร์ โรลออน ฯลฯ ใคร ๆ ก็อยากทำ ทำหนังมันไม่แน่ไม่นอน
มองโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น เขาอาจจะอยากเป็นนักฟิสิกส์ แต่ใจไม่กล้าพอ
มองหมอศัลยกรรมพลาสติก ใจจริงอาจจะอยากเรียนปั้นหม้อ แต่ตอนเด็ก ๆ ดันเรียนเก่ง ช่วยไม่ได้
ฯลฯ
ทุกอย่างมันคงไปทางนี้หมดมั้งครับ
อะไรที่มันไม่ทำเงิน คนก็ไม่สนใจ ...ก็คงไม่แปลก แต่ละคนคงต้องทำมาหากิน เอาตัวเองให้รอด
แต่รัฐน่าจะสนใจหน่อยเนอะ ให้มันสมดุลกันหน่อย
....
แต่บ้านเราไม่ใช่รัฐสวัสดิการหรืออะไรทำนองนั้นน่ะสิ :P
แต่เป็นทุนนิยมสมัยใหม่ตัวใหญ่เลยล่ะ
ทุนต่อทุน ทุนต่อทุน เอาเงินอนาคตมาใช้ก่อน นี่คือคนฉลาด
ยังไม่มีทุนตอนนี้ แปลงสินทรัพย์เป็นทุน แปลงปัญญาเป็นทุน แปลงทุกอย่างเป็นทุน ฯลฯ จะได้เอาทุนไปต่อทุน
เผอิญศิลปศาสตร์มันแปลงเป็นทุนได้น้อยไปหน่อย
แวะมา..หลายครั้ง... ทันพอได้เห็น คห. ที่กระทบใจ
ไม่ต้องคิดอื่นไกล..ใครคือผู้พิจารณา "ทุน"...
พวกพ้องและน้องพี่...อาจมีมาก่อนได้..ใครจะรู้
ถามว่า...สายศิลป์..ผู้หลักผู้ใหญ่มีเยอะไหมใน..ทีม
ของผู้ที่มี Power ในการพิจารณาคัดสรรทุน...ส่งเสริม"คนไทย"...
มองชื่อ..มองคุณสมบัติ "ท่านๆ" ส่วนใหญ่...เป็นศิษย์เก่าสายวิทย์..ทั้งนั้นแหละคะ
สมัยก่อน...เมื่อคุณแม่ยังสาว...คนเก่งต้องเรียนครู
แต่เดี๋ยวนี้...คนเก่ง..ต้องเลือกเรียนอย่างอื่น งานดีเงินดี
แล้วครู...ก็มีแต่คนเรียนปานกลางไปจนถึง...คนที่เลือกเรียนอย่างอื่นไม่ได้...