มาอ่านกันต่อดีค่ะว่าการสนทนาในช่วงนี้เป็นอย่างไร
คุณสุวัฒนา กล่าวต่อไปว่า เคยมาที่กลุ่มแม่พริกแล้ว ตอนนั้นสถานที่ยังไม่ได้เทปูนเลย เป็นดิน มีกระดานเขียนบอกจำนวนสมาชิก จำได้ว่ามีประมาณ 176 คน มาในวันนี้กลุ่มเจริญเติบโตขึ้นมาก การทำงานกับชุมชนนั้น โดยส่วนตัวจะบอกเสมอว่าในฐานะที่เป็นหน่วยงานราชการ จะไม่มาบอกว่าชุมชนจะต้องทำอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนั้น แต่จะบอกเสมอว่าชุมชนจะทำอย่างไรก็ได้ ตามฉันทามติของชุมชนเอง เพราะฉะนั้น เวลาเราจัดตั้งกองมทุน/กลุ่มขึ้นมา มันจะต้องเกิดขึ้นมาจากความคิดของคนในชุมชนเอง ไม่ต้องไปเอาความคิดของคนอื่นมาทำ สิ่งที่เราทำต้องวางอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามันเหมาะกับเรา ไม่จำเป็นที่ต้องเหมือนกัน ต้องมีอิสระในการทำ เราจะทำอย่างไรก็ได้ ตราบเท่าที่พี่น้องในชุมชนของเราเห็นพ้องต้องกัน การทำงานของชุมชนเป็นที่น่าชื่นชม เพราะ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดขึ้นจากความต้องการของคนในชุมชน ไม่มีใครมาบังคับ เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำๆไปแล้ว หากมันเกิดผลไม่ดีก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครสามารถมาห้ามเราได้ เพราะ สิ่งที่เราทำเกิดจากฉันทามติของคนในชุมชน ไม่มีกฎหมายบอกว่าเมื่อเปลี่ยนวิธีใหม่แล้วผิดกฎหมาย มันสามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานะของเราเอง นี่เป็นคำตอบว่าสิ่งที่ทางโซนใต้คิดผิดหรือถูก
อ.ธวัช เล่าเพิ่มเติมว่า สูตรการแบ่งเงินในการจัดสรรสวัสดิการแบบเดิม คือ 40% จากเงินที่เก็บวันละหนึ่งบาทในแต่ละเดือนนั้นไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้จ่ายในส่วนของสวัสดิการ ยิ่งถ้ามีสมาชิกเสียชีวิตมากๆยิ่งไม่พอ ดังนั้น ทางกลุ่มจึงจำเป็นต้องนำเงินในส่วนของกองทุนธุรกิจชุมชน 30% มาช่วยในเรื่องนี้ ถ้าไม่พอก็ต้องนำเงินในส่วนอื่นเข้ามาช่วย เช่น เงินในกองทุนสวัสดิการคนทำงาน เป็นต้น แต่ตั้งแต่แยกตัวออกมาบริหารจัดการกันเอง สถานการณ์ต่างๆก็เริ่มดีขึ้น ผมคิดว่าเราอยู่ได้ ถ้าเรามีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ ไม่ใช่ว่าต้องทำตามสูตรทุกอย่าง ตอนนี้เงินในกองทุนธุรกิจชุมชนก็ยังมีอยู่ เพราะ ยังไม่ได้นำไปลงทุน แต่มีอยู่ไม่ครบ เนื่องจาก เอาเงินส่วนหนึ่งไปให้กองทุนสวัสดิการครบวงจรชีวิตยืมจ่ายเป็นค่าสวัสดิการ แต่ถ้าเดือนไหนที่กองทุนสวัสดิการครบวงจรชีวิตมีเงินเหลือ เราก็จะเอามาคืนกองทุนธุรกิจชุมชน
คุณสุวัฒนา บอกว่า ข้อสำคัญ คือ พี่น้องในชุมชนรับทราบเรื่องนี้ไหม ความคิดนี้เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนไหม มีการสื่อสารไปให้พี่น้องในชุมชนได้ทราบหรือไม่ เพี่อที่จะได้ไม่เกิดความผิดพ้องหมองใจกัน ขอยกตัวอย่างสักหนึ่งตัวอย่าง เห็นพี่น้องเก็บเงินออมทรัพย์ ตัวเองก็เอาไปเขียนเป็นบทความ เขียนเป็นรายงานบอกผู้บังคับบัญชา ปรากฎว่าผู้บังคับบัญชาบอกว่า เห็นเขียนอะไรออกมามากมาย บอกให้คนโน้นทำ คนนี้ทำ ตัวเองได้ทำแล้วหรือยัง เมื่อถูกถามอย่างนี้ ตัวเองก็เลยเขียนลงใน Intranet ว่า ขณะนี้มีผู้ก่อการดีเกิดขึ้น ได้มีโอกาสไปเห็นชาวบ้านทำแล้วมันดี ชาวบ้านเก็บเงินแค่วันละ 1 บาท ก็เลยคิดว่าเราน่าจะทำบ้าง ดังนั้น จะขอใช้หลักของพ่อชบ คือ ออมเพื่อให้ วิธีการ คือ จะออมเงินวันละ 1 บาท ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็เก็บเงินออมเท่ากัน คือ วันละ 1 บาท เราจะไม่เก็บเกินไปกว่านี้ ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกัน ส่วนเงินหนึ่งบาทนั้นก็ไม่เป็นการเพิ่มภาระใคร ไม่ต้องออกไปหารายได้พิเศษเพิ่มเติม เพียงแต่ลดรายจ่ายของตนเอง เช่น โทรศัพท์ให้น้อยลง สูบบุหรี่ให้น้อยลง เป็นต้น เราบอกชัดเจนว่าต้องไม่เบียดเบียนกันและอย่าหวังว่าจะได้ประโยชน์จากเงินในส่วนนี้ เพราะ เงินนี้เก็บเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือกันเมื่อยามเดือดร้อน เดี๋ยวคงต้องมาตั้งกฎเกณฑ์กันว่าจะใช้อย่างไร ดังนั้น ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 เวลา 14.00น. ขอให้ผู้ที่สนใจมาร่วมประชุมกันเพื่อ1.ตกลงกันว่าจะทำหรือไม่ทำ2.ถ้าจะทำจะทำอย่างไร3.จะมีกฎเกณฑ์อย่างไร ถ้าวันที่ 25 นี้มาคุยกันแล้วตกลงกันได้ว่าจะทำ ในวันที่ 26 ต้องมาคุยกันในเรื่องของกฎเกณฑ์ ส่วนวันที่ 27 ก็จะเริ่มเก็บเงินออม แล้วคงจะประกาศต่อสาธารณชนว่า สศค. ได้ทำแล้ว โดยเอาความเป็น "สัจจะ" ของพ่อชบมา เอาความยืดหยุ่นของโซนใต้มาใช้ แล้วค่อยมาปรับอีกครั้งหนึ่งให้เป็นแบบ สศค. เอง
คุณภีม ขอร่วมวงแลกเปลี่ยนโดยกล่าวว่า ตัวเองสนใจในเรื่องการบริหารจัดการ โดยเฉพาะในส่วนของการแบ่งตัวเงิน ซึ่งสูตรการแบ่งเงินที่คิดออกมาได้เป็นผลมาจากการเอาสูตรของเครือข่ายฯและสูตรของสงขลามาคุยกัน มาวิเคราะห์กัน แล้วนำมาปรับให้เป็นของโซนใต้ แสดงว่าเงินในส่วนของการจ่ายสวัสดิการเกิด เจ็บ ตาย ซึ่งคิดเป็น 50% หากมีความถูกต้องแสดงว่าเงินในส่วนนี้จะต้องจ่ายให้พอกับสวัสดิการที่เกิดขึ้น ไม่ควรที่จะต้องไปนำเงินในส่วนอื่นเข้ามาช่วยจ่าย คำถามก็คือ เราเคยคิดคำนวณไหมว่าสูตรนี้จะใช้ได้ต้องมีสมาชิกอย่างน้อยเท่าไหร่? อย่างที่สงขลา เขาบอกชัดเจนว่าสูตรของเราต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 50 คน ถ้ามีสมาชิก 50 คน สามารถตั้งได้เลย รับรองว่ากองทุนไม่ล้ม
คุณยุพิน บอกว่า ความจริงเราตั้งเป้าอย่างพ่อชบก็ได้ แต่เราต้องกันเอาไว้ก่อน คือ ตั้งเป้าสูงเอาไว้ก่อน ต้องมีสมาชิก 100 คนขึ้นไป เพราะ เราต้องเก็บเงินออมไว้ก่อน 6 เดือน จึงจะนำเงินนั้นมาจัดสวัสดิการ การเก็บเงินออมสำรองไว้ก่อน 6 เดือน ทำให้กองทุถนของเราโตขึ้น แต่พอถึงเวลาที่เราต้องจัดสวัสดิการ บางเดือนอาจไม่มีสมาชิกมาขอรับสวัสดิการก็ได้ กองทุนเราก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ การที่เราต้องตั้งสูงไว้ก่อน เพราะ เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
คุณภีม หมายความว่า เงินในส่วนของ 50% ซึ่งนำมาใช้จัดสวัสดิการของแต่ละกลุ่มที่แยกออกมาจัดการตัวเองนั้น ต้องอาศัยข้อมูลที่เก็บสะสมไว้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปว่าจะเกิดการใช้เงินอย่างไรบ้าง แสดงว่าอย่างนี้เราก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้
คุณยุพิน บอกว่า ตอนนี้ได้กำชับให้ทุกกลุ่มที่อยู่ในโซนใต้รวบรวมข้อมูลของตนเองให้เป็นปัจจุบันที่สุด นี่คือหลักสำคัญ นอกจากแต่ละกลุ่มจะรวบควมข้อมูลของตนเองแล้ว ต่อไปเราจะทำข้อฒุลในภาพใหญ่ ซึ่งก็คือ โซนใต้หรือกลุ่มที่ร่วมอุดมการณ์กับเรา เราจะได้รู้ว่าภาพรวมเป็นอย่างไร ทุกวันอาทิตย์ที่4 ของเดือน เราจะมีการประชุมกัน ทุกกลุ่มต้องนำข้อมูลของกลุ่มตัวเองมาแสดง ตอนนี้เราทำแบบเก็บข้อมูลในระดับกลุ่มออกมาแล้ว ทุกกลุ่มจะต้องกรอกข้อมูลลงไปให้เรียบร้อยและเป็นปัจจุบัน เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมารวมกัน นี่แหละที่จะทำให้เราทราบว่าแต่ละกลุ่มมีสถานะเป็นอย่างไร กลุ่มไหนมีปัญหา เราจะได้มาช่วยเหลือกัน อนึ่ง นอกจากนำข้อมูลมาส่งแล้ว ยังต้องนำเงินในส่วนของกองทุนกลางและกองทุนบุญมาส่งด้วย การที่เรามีข้อมูลจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะ จะทำให้เราทราบว่าเราจะดำเนินการต่อไปอย่างไร มีเงินจัดสวัสดิการพอหรือไม่ หากมีเงินเป็นจำนวนมาก เราก็อาจเพิ่มสวัสดิการต่างๆเข้าไปก็ได้ ข้อมูลจะทำให้เราทราบว่าชาวบ้านอยู่ดีกินดีไหม เราจะช่วยเหลือชาวบ้านอย่างไร เราจะทำอย่างไรให้บัญญัติ 8 ประการเป็นจริง เราจะร่วมมือกับ อปท. อย่างไร เราไม่ได้มองแค่เรื่องสวัสดิการอย่างเดียว แต่เรามองในเรื่องคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวบ้านด้วย
อ.ธวัช กล่าวเสริมว่า ต่อไปเราคงลงรายละเอียดในเรื่องข้อมูลให้มากขึ้น เช่น ในเรื่องการตาย ตอนนี้เราทราบว่ามีสมาชิกเสียชีวิตกี่คน ต่อไปเราต้องทำฐานข้อมูลเพิ่มเติมว่าชาวบ้านเสียชีวิตด้วยโรคอะไรมาก หรือ ชาวบ้านที่ไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาเป็นโรคอะไรกันมาก
คุณภีม แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า ถ้าอย่างนั้นเราอาจใช้เครื่องมือในส่วนของการตรวจสุขภาพสมาชิก มีการติดต่อเชื่อมประสานกับ โรงพยาบาลว่าวันนี้เป็นวันออม มีสมาชิกมาออมเป็นจำนวนมาก น่าจะจัดให้มีการตรวจสุขภาพ ถ้าเป็นอย่างนี้คิดว่าโรงพยาบาสลน่าจะเข้ามาร่วมมือด้วย
คุณยุพิน กล่าวเสริมว่า ในเรื่องนี้ทางกลุ่มบ้านดอนไชยก็คิดอยู่เหมือนกัน ตอนนี้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล (บางคน) ว่าขอให้มาเป็นแนวร่วมกัน ในวันออมขอให้ลงมาหน่อย มาให้ความรู้ชาวบ้านหน่อยว่าโรคนี้มีสาเหตุมาจากอะไร
คุณสุวัฒนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในเรื่องนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) เขาก็มีโครงการที่จะทำหน่วยส่งเสริมสุขภาพในชุมชน ที่จะสบทบให้หัวละ 37 บาท/คน/ปี ช่วงแรกจะทำประมาณ 200 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการตรวจสุขภาพประจำปี ประจำเดือน
คุณภีม อธิบายเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่ตนเองเสนอความคิดเห็นนั้นเน้นไปที่การพึ่งตนเอง ไม่ต้องเอาเงินมาเสริม โดยสร้างความร่วมมือกับภาคีโรงพยาบาล เพราะ เป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องดูแลอยู่แล้ว หากประชาชนสุขภาพดี ไม่มีโรคภัย โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเขาก็จะมีค่าใช้จ่ายน้อย เหมือนกับว่าต่างคนต่างได้ประโยชน์
ขอจบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ (ถ้ามีเวลา) จะกลับมาเล่าให้ฟังต่อค่ะ
ไม่มีความเห็น