HOMEWORK IS NOT WORK!!


ป.ล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะคนเขียนอยู่ในอารมณ์ไม่มีวิจารณญาณเท่าใดนัก

เรื่องราวอันสืบเนื่องจากความครุ่นคิดประการหนึ่ง...

          ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะความขี้เกียจคือปฐมเหตุเบื้องต้น หรือด้วยความคับข้องใจก่อนหน้าเป็นตัวจุดชนวน แต่วันนี้หลังจากจมอยู่กับกองงานที่อาจารย์แต่ละวิชา assign มาให้ทำ ก็เริ่มก่อเป็นความสงสัยขึ้นตะหงิดๆ ว่า ตกลงแล้วเรากำลังเรียนปริญญาโทอยู่จริงๆ หรือ? แล้วการบ้านแต่ละวิชานอกจากเป็นงานส่งเอาคะแนน มันตอบอะไรกับสิ่งที่เรามุ่งหมายต้องการจะทำบ้าง

          ยิ่งมานั่งไล่เรียง เชื่อมร้อย ยิ่งทำให้พบว่า หลายต่อหลายวิชามีจุดประสงค์ที่วางไว้คล้ายคลึงกัน เช่น ต้องการฝึกให้นักศึกษาวิเคราะห์งานของนักวิจัยคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ว่ามีส่วนดีเด่นหรือขาดตกบกพร่องตรงไหน อย่างไร ฯ แต่พอมันเป็นคนละวิชา ก็สั่งงานกันไปคนละอย่าง เกี่ยวกับสิ่งที่นักศึกษาสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง อาจฟังดูชั่วร้ายไปสักหน่อย แต่สิ่งเหล่านี้มันซ้ำซ้อนและเป็นการทำงานที่ทำให้นักศึกษาเหนื่อยโดยไม่จำเป็น 

         พาลทำให้หงุดหงิดต่อว่า อุตส่าห์หลุดจากการเรียนในระดับปริญญาตรี เพื่อมาเจอการบ้านกองพะเนินในระดับปริญญาโท ทั้งที่เคยเข้าใจว่า การทำวิจัยต่างหากที่เป็นเครื่องมือหลักในการเรียนรู้...เพื่ออะไร 

(คำเตือน : ข้อความส่วนข้างล่างนี้ บวกอารมณ์งอแงส่วนตัวเข้าไป 70 เปอร์เซ็นต์)

         การวัดผลของแต่ละวิชาจำเป็นต้องจำแนกเป็นวิชาๆ ไปก็จริง แต่มันน่าจะมีการจัดการอะไรสักอย่าง (ที่สมกับชื่อคณะการจัดการทรัพยากรฯ) เพื่อให้การทำงานของแต่ละวิชามันเชื่อมโยงกัน เช่น วิชานี้ให้ไปรีวิวเปเปอร์ วิชานั้นก็มาสอนต่อว่า ในเปเปอร์พวกนั้นที่คุณรีวิว คุณจะวิเคราะห์จุดเด่น-จุดด้อยยังไง โดยใช้เปเปอร์ที่เด็กต้องรีวิวเป็นโจทย์ หรือเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อต้องเรียนเพื่อมาใช้กับการอ่านงานวิจัย ก็ต้องฝึกให้เด็กคุ้นชินกับการเรียนภาษาอังกฤษจากงานวิจัย ไม่ใช่สอนภาษาอังกฤษไปทางหนึ่ง (ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าทางไหน) แต่อีกวิชาก็เอาแอ็บสแตร็คอังกฤษทั้งดุ้นโยนมาให้แปล (ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าผลเป็นอย่างไร) เป็นต้น

         ความจริงก็เข้าใจข้อจำกัดอยู่ว่า แต่ละคนเรียนไม่เหมือนกัน จะให้ CO กันได้ทั้งหมดคงเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่คิดว่า มันจะไม่มีทางที่จะเชื่อมกันได้เลย (นี่ยังไม่นับถึงเนื้อหาในแต่ละวิชาเรียนว่ามันเชื่อมร้อยกับตัวหลักสูตรหรือไม่ ยังไง--อันนั้นเรื่องยาว)

         ยิ่งบ่นยิ่งชักไปกันใหญ่แฮะ พาลจะไล่ไปถึงโครงสร้างระบบการศึกษาเข้าไปนั่น : P ว่าแล้วก็ทำให้คิดถึงหนังขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นหนังทิเบต ชื่อเรื่องว่า The cup ที่พระทิเบตในเรื่องตั้งคำถามไว้ในตอนท้ายว่า "ถ้าจะทำให้โลกใบนี้นุ่มขึ้น จะเอาแผ่นหนังห่อหุ้มโลก หรือห่อหุ้มเท้าของเราเอง" และคิดถึงคำที่อาจารย์ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า "เราเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่จงทำบทบาทหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด"

         เฮ้อ...ตอนนี้เพียงแต่นึกไปว่า เป็นไปได้ไหม หากแผ่นหนังนั้นจะแปรเป็นพรมหรือผืนเสื่อ...เพราะเราไม่อยากยืนเท้านุ่มอยู่คนเดียว      

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 40716เขียนเมื่อ 25 กรกฎาคม 2006 00:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อย่ากังวลสำหรับเท้าคนอื่นเลย

สักพักเขาก็จะเรียนรู้

และทำให้เท้าของเขานุ่มเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท